Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews: HLเล็งขาย IPO72ล้านหุ้น ช่วงกลางเดือน ธ.ค.64

2,589

 

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (2 พฤศจิกายน 2564)-------บมจ. เฮลท์ลีด (HL) เตรียมขายไอพีโอ 72 ล้านหุ้น คิดเป็น 26.47%ของหุ้นทั้งหมด คาดระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ราวกลางเดือน ธ.ค.64 ชูจุดเด่นเป็นธุรกิจร้านขายยาแบบครบวงจรรายแรกของไทย ที่มีศักยภาพระดมทุนในตลาดหุ้น ฟาก ซีอีโอ "ธัชพล ชลวัฒนสกุล" ยกระดับเป็นองค์กรที่ได้มาตรฐาน เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนเพิ่มฐานทุนให้แข็งแกร่ง รองรับแผนการขยายธุรกิจ สำหรับเงินที่ได้นำไปใช้ในการขยายสาขาใหม่ ปรับปรุงสาขาเดิม พร้อมใช้เป็นทุนหมุนเวียนต่อยอดธุรกิจนวัตกรรมแห่งอนาคต เพื่อผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืน

 


นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ของ บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) (HL) ประเมินว่า HL จะสามารถเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 72 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 26.47% และคาดว่าจะเสนอขายและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในกลางเดือนธันวาคม 2564

อย่างไรก็ตามในขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดราคาหุ้นIPO ซึ่งคาดว่าในช่วงปลายสัปดาห์นี้จะมีบทวิเคราะห์หุ้นของHLออกมา จาก8บริษัทหลักทรัพย์ รวมทั้งบล. ฟินันเซีย ด้วย

 

"HL จะเป็นหุ้นธุรกิจร้านขายยาบริษัทแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และเป็นบริษัทที่มีความน่าสนใจ เนื่องจากเป็นธุรกิจร้านขายยา Chain Store ที่มีสาขาตั้งอยู่ที่ในทำเลที่เข้าถึงแหล่งชุมชน รวมทั้งมีเภสัชกรประจำตลอดเวลา ขณะเดียวกันอยู่ในอุตสาหกรรมสุขภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเมกะเทรนด์ที่มีแนวโน้มเติบโต และยังเป็นธุรกิจแห่งอนาคตมีโอกาสสร้างการเติบโตได้แบบก้าวกระโดด เพราะสังคมไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคสังคมผู้สูงวัยเต็มรูปแบบ อีกทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้คนส่วนใหญ่ หันมาให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการยา หรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตได้ต่อเนื่อง ที่สำคัญการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะทำให้ชื่อเสียงขององค์กรและแบรนด์เป็นที่ยอมรับมากขึ้น ทั้งยังช่วยสร้างฐานทุนให้แข็งแกร่ง มีแหล่งระดมทุนที่หลากหลาย สามารถรองรับการขยายธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการเติบโตได้เป็นอย่างดี"นายสมภพ กล่าว

ด้าน ภก.ธัชพล ชลวัฒนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้ไปใช้ในการขยายสาขาใหม่ และปรับปรุงสาขาเดิม ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนสาขารวม 25 สาขา โดยตั้งเป้าหมายที่จะมีการขยายสาขาปีละ 4-5 แห่ง บนทำเลที่ดีมีศักยภาพสร้างรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการต่อยอดธุรกิจนวัตกรรมแห่งอนาคต เพื่อผลักดันการเติบโตได้อย่างยั่งยืน

"HL มีเป้าหมายหลักของการเข้าจดทะเบียนใน mai เพื่อจะยกระดับมาตรฐานองค์กร สามารถตรวจสอบได้ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงลูกค้าจะมีความมั่นใจในการเลือกซื้อยา เวชภัณฑ์ เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม อุปกรณ์การแพทย์กว่า 10,000 รายการของบริษัทฯ ซึ่งมีคุณภาพได้มาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นได้เป็นอย่างดี"

สำหรับภาพรวมผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา กลุ่มฯบริษัทมีรายได้รวมจำนวน 791.21 ล้านบาทในปี 2561, จำนวน 915.51 ล้านบาทในปี 2562 และจำนวน 1,080.11 ล้านบาทในปี 2563 คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 15.71% และ17.98% สำหรับปี 2562 และ 2563 ตามลำดับ สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวมจำนวน 556.76 ล้านบาท

ขณะที่ กำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากจำนวน 0.39 ล้านบาทในปี 2561 เพิ่มเป็น จำนวน 21.77 ล้านบาทในปี 2562 และเป็นจำนวน 52.08 ล้านบาท ในปี 2563 ส่วนงวด 6 เดือนแรกของ ปี 2564 กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 32.29 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 5.80 โดยอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 5.09 และเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ซึ่งอยู่ที่ 4.82 จากการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น รวมทั้งมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพที่เป็นผลิตภัณฑ์ของเฮลทิเนส เพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างสูง ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นของปี 2563 อยู่ที่ 21.89% และงวด 6 เดือนของปี 2564 อยู่ที่ 22.27% อันเนื่องมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีอำนาจการต่อรองกับซัพพลายเออร์เพิ่มขึ้น

บมจ.เฮลท์ลีด ประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ลงทุนในบริษัทย่อย 2 แห่งได้แก่ 1.บริษัท ไอแคร์ เฮลท์ จำกัด (Icare Health Company Limited) (ไอแคร์ เฮลท์) เป็นบริษัทย่อย ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 100 % โดยไอแคร์ เฮลท์ ประกอบธุรกิจหลักคือ ธุรกิจร้านขายยา จำหน่ายยา เวชภัณฑ์ เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อุปกรณ์การแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ รวมกว่า 10,000 รายการ เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย โดยจำหน่ายผ่านร้านขายยาทั้งหมด 4 แบรนด์ ปัจจุบันมี 25 สาขา ได้แก่ iCare 10 สาขา, PharmaX 11 สาขา, vitaminclub 3 สาขา และ Super Drug 1 สาขา และ

2. บริษัท เฮลทิเนส จำกัด (Healthiness Company Limited) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้น 100% โดยประกอบธุรกิจหลัก คือ คิดค้น และพัฒนาร่วมกับทีมวิจัยภายนอก รวมทั้งว่าจ้างผู้ผลิต เพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ ภายใต้ 2 แบรนด์ ดังนี้ PRIME เป็นแบรนด์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลก มีผลิตภัณฑ์จำนวนทั้งหมด 24 SKU และ Besuto เป็นแบรนด์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ ผลิตภัณฑ์สลายกลิ่น และผลิตภัณฑ์หน้ากาก ซึ่งมีจำหน่ายทั้งหมด 9 SKU โดยส่วนใหญ่จำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกของกลุ่มบริษัท

บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 136 ล้านบาท และมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 100 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 136 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 272 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท

ด้านจุดแข็งของทางบริษัทนั้น คือได้มีการสร้างความร่วมมือกับทางมหาวิทยาลัยในการนำบัณฑิตเภสัชกรมาประจำอยู่ที่สาขาเมื่อเรียนจบ ซึ่งจะทำให้ทุกสาขาของบริษัทมีพนักงานที่จบเภสัชกรรมโดยตรง สามารถจ่ายยาและให้ความรู้กับประชาชนที่เข้ามาใช้บริการอย่างถูกต้อง เหมาะสม แม่นยำกว่าหลายร้านที่เป็นคู่แข่งซึ่งไม่ได้เป็นเภสัชกรจริงๆ ประกอบกับบริษัทมีระบบจัดการคลังสินค้าและการกระจายสินค้าที่ดี โดยปัจจุบัน บริษัทมีเก็บคลังสินค้าจำนวน1แห่ง ขนาดพื้นที่ราว 1,000 ตรม. รวมถึงจากการที่HL ได้ดำเนินธุรกิจมามากว่า20ปี ทำให้มีพันธมิตรที่เป็นSuplier ที่แข็งแกร่ง จึงไม่มีความกังวลเรื่องของการบริหารงานหรือการขาดแคลนยาแต่อย่างใด

ทั้งนี้ แม้ว่าในตลาดรวมของร้านเภสัชกรรมจะมีผู้เล่นรายใหญ่เข้ามาพยายามแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด ซึ่งในปัจจุบันมูลค่าตลาดอุตสาหกรรมยาไทยอยู่ที่ 184,000 ล้านบาท แบ่งเป็นอุตสาหกรรมร้านขายยาประมาณ 20% หรือ 35,500 ล้านบาท แต่เชื่อว่าด้วยศักยภาพของบริษัทที่มีได้ให้บริการลูกค้ามา จะทำให้HLสามารถมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ในTop5 ของอุตสาหกรรมร้านยาได้

 


---จบ---

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้