Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews: IAA เฟ้น4หุ้นเด่น AOT-BEM-CPALL-KBANK เล็ง SET ปีหน้า 1,754 จุด

2,581

 

 

 

 


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(4ตุลาคม 2564)--------สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน(IAA) เผย กูรู-ผจก.กองทุน เล็งวัคซีนในไทยคืบหน้า บวกกับเศรษฐกิจโลกฟื้นคาด SET Index สิ้นปีนี้ 1648 ส่วนปีหน้า 1754 จุด แจก4 หุ้นเด่น AOT-BEM-CPALL-KBANK พร้อมแนะกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็นเงินสดและเงินฝากระยะสั้น 12.20% ,กองทุนตราสารหนี้ 16.80% ,หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 28.80% ,หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 25.88%,กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 8.04% ,ทองคำหรือกองทุนทองคำ 5.96% ,อื่นๆ 2.32%

 

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) โดยครั้งนี้มีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 27 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จำนวน 22 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจำนวน 3 บริษัท และบริษัทโกลด์ ฟิวส์เจอร์ส 1 บริษัท ซึ่งได้ปรับสมมติฐานหลักเป็นปัจจุบันแล้ว ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

สมมติฐาน GDP ปี 64 นั้นผู้ตอบส่วนใหญ่มองว่าเป็นบวก มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.68% ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน (ก.ค.64) ซึ่งเคยใช้สมมติฐานที่ 2.11% แต่มีผู้ตอบร้อยละ 14.81 ที่มองถึงขั้นติดลบ อย่างไรก็ตาม GDP ปี 65 มีความเป็นเอกฉันท์ว่าเป็นบวก โดยมีค่าเฉลี่ย 3.67%


ทางด้านสมมติฐานราคาน้ำมัน มีค่าเฉลี่ยของผู้ตอบแบบสอบถามที่ 68.54 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยแยกตามกลุ่ม มีผู้ตอบดังนี้
• 60 – 69.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 55.56
• 70 – 79.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 40.74
• 80 – 89.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 3.70

เมื่อให้มองยาวไปจนถึงสิ้นปี 2564 ปัจจัยที่มีผลบวกต่อดัชนีราคาหุ้นไทยในปี 2564 ได้แก่ แนวโน้มสถานการณ์วัคซีนและโควิดในไทย ผู้ตอบแบบสำรวจ 96.30% เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก รองลงมาผู้ตอบ 70.37% ปัจจัยด้านเศรษฐกิจต่างประเทศทั้ง อเมริกา ยุโรป เอเชีย และ แนวโน้มสถานการณ์โควิด19 โลกมีผู้ตอบ 66.67% ตามลำดับ

ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลในด้านลบต่อตลาดทุนไทยในขณะนี้จนถึงสิ้นปี 2564 ได้แก่ แนวโน้มการลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก มีผู้ตอบ 92.59% รองลงมาคือปัจจัยด้านการเมืองในประเทศ มีผู้ตอบ 85.19% และทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา (FED) ซึ่งมีผู้ตอบ 69.23% ตามลำดับ


สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ได้สอบถามความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับ ข้อเสนอแนะว่าภาครัฐควรเร่งนโยบายเรื่องใดที่มีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่เสนอให้ภาครัฐใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงเร่งการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อการเปิดเมืองมากขึ้นเป็นลำดับอย่างต่อเนื่อง จำนวนร้อยละ 45.16 ของผู้ตอบเสนอให้มีการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ ออกมาตรการช่วยเหลือภาคบริการ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว และ สนับสนุนการฟื้นฟูการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการรายย่อย SMEs ให้สินเชื่อพิเศษ ทั้งนี้มีผู้ตอบร้อยละ 41.94 เสนอให้ออกนโยบายให้การช่วยเหลือประชาชน ได้แก่ มาตรการกระตุ้นการจับจ่าย ที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้และสนับสนุนการลงทุนในหลักทรัพย์ระยะยาว (LTF) นอกเหนือจากข้อเสนอดังกล่าว มีผู้ตอบร้อยละ 12.90 เสนอให้เร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

 

ด้านการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. นักวิเคราะห์เกือบทั้งหมด(กว่าร้อยละ 85) มีความเห็นว่าจะคงที่ ในปี 2564 จนถึงปี 2565

คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2564 ของตลาดเฉลี่ยที่ 82.08 บาท สูงขึ้นกว่าผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 80.87 บาทต่อหุ้น โดย แยกตามกลุ่มมีผู้ตอบดังนี้
• 70 – 79.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 26.09
• 80 – 89.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 69.57
• 90 – 99.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 4.35

และคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2565 ของตลาดเฉลี่ยที่ 92.49 บาท โดย แยกตามกลุ่มมีผู้ตอบดังนี้
• 70 – 79.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 4.76
• 80 – 89.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 14.29
• 90 – 99.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 76.19
• 110 – 119.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 4.76

EPS Growth ของปี 2564 คาดว่า EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 69.50 เมื่อแยกตามช่วงระดับการเติบโต จะอยู่ระหว่างร้อยละ
• 20 - 39.99 มีผู้ตอบร้อยละ 10
• 40 - 59.99 มีผู้ตอบร้อยละ 45
• 60 - 79.99 มีผู้ตอบร้อยละ 10
• 80 - 99.99 มีผู้ตอบร้อยละ 5
• 100 - 119.99 มีผู้ตอบร้อยละ 30


และ EPS Growth ของปี 2565 คาดว่า EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 12.73 เมื่อแยกตามช่วงระดับการเติบโต จะอยู่ระหว่างร้อยละ
• 1 - 9.99 มีผู้ตอบร้อยละ 30
• 10 - 19.99 มีผู้ตอบร้อยละ 65
• 20 - 29.99 มีผู้ตอบร้อยละ 5


สำหรับจุดสูงสุดของ SET Index ระหว่างต.ค. - ธ.ค.ปี2564 เฉลี่ยที่ระดับ 1,675 จุด ทั้งนี้มีผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 95.15 ที่คาดว่าดัชนีจะทำจุดสูงสุด 1,601 – 1,700 จุด และมีผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 4.55 ที่คาดว่าจุดสูงสุดจะอยู่ในช่วง 1,701 – 1,800 ตามลำดับ

เมื่อมองจุดต่ำสุดของปี 2564 นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนคาดการณ์จุดต่ำสุดของดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) ระหว่างต.ค. - ธ.ค.ปี2564 มีค่าเฉลี่ยจุดต่ำสุด ที่ 1,565 จุด


ทั้งนี้นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนคาดเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2564 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,648 จุด ซึ่งสูงขึ้น 1 จุดจากระดับคาดการณ์ไว้ ณ สิ้นไตรมาส 3 ซึ่งอยู่ที่ 1,647 จุด
และคาดการณ์เป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2565 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,754 จุด

ความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุน แนะนำ ให้มีเงินสด / เงินฝากระยะสั้นร้อยละ 12.20 ของพอร์ต และมีกองทุนตราสารหนี้ร้อยละ 16.80
ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงนั้น แนะนำให้แบ่งเงินลงทุนไว้ในหุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย ร้อยละ 28.80 รองลงมา ลงทุนในหุ้นต่างประเทศหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ ร้อยละ 25.88 ตามมาด้วยการแบ่งเงินลงทุนไว้ในกองทุนอสังหา/REIT ร้อยละ 8.04 ทองคำ ร้อยละ 5.96 และสินทรัพย์อื่นๆ เช่น Digital Currency น้ำมัน Private Asset ร้อยละ 2.32 ตามลำดับ

หมวดธุรกิจที่แนะนำเพิ่ม- ลดน้ำหนักการลงทุนในครึ่งปีหลัง

สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยในครึ่งปีหลังนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจค้าปลีก ธนาคาร อสังหาฯ พาณิชย์ โรงแรมและการท่องเที่ยว
ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจพลังงาน โรงพยาบาลและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

หุ้นเด่น


รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำโดยมีจำนวนสำนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป มีดังนี้ (เรียงชื่อตามอักษรย่อ)
1. AOT ปัจจัยสนับสนุนจากการขยายสัญญาเช่าสนามบิน ลุ้นรายได้พาณิชย์ใหม่ จากการพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์ที่ดิน 700 ไร่ใกล้สุวรรณภูมิ ซึ่งสร้าง Upside และเสริมภาพการฟื้นตัวธุรกิจการบินในระยะกลาง-ยาว
2. BEM โดยมองว่าผลประกอบการ Q3 เป็นจุดต่ำของปีนี้ แนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากการทยอยเปิดเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้ราคาหุ้นยังฟื้นตัวช้า
3. CPALL ปัจจัยสนับสนุนจาก ปรับโครงสร้าง MAKRO เข้าถือหุ้นใน Lotus’s 100% และคาดว่าหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลาย รวมถึงการกลับมาของนักท่องเที่ยว จะทำให้ผลประกอบการของ Lotus’s กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง
4. KBANK โดยคาดว่าสินเชื่อโตเกินเป้าจะทำให้กำไรดีกว่าคาด ปรับเพมประมาณการกำไรปี 2565/66 ขึ้นอีก 6%/3 และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2565F เป็น 160 บาท


สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ธุรกิจหุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวที่ปีก่อนวิ่งขึ้นมากว่า 1,000% เนื่องจากราคาเกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


----จบ----

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ตั้งลำ By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ตลาดหุุ้นไทย ดีดตัว ตั้งลำได้อีกครั้ง ยืน 1,180 จุด ได้ ด้วยตลาดต่างประเทศปรับตัวขึ้น ....

ทางลง ทางชัน By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง เส้นทางตลาดหุ้นไทย มีหลากหลาย เส้นทาง มีทั้ง ทางลง ทางขึ้น ทางชัน สถานการณ์ของหุ้น ของราคา....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้