สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (28 กันยายน 2564)—— นายจักรพงส์ สุเมธโชติเมธา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สากล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) SKE เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่าภาพรวมผลประกอบการในปี 2564 จะเติบโตขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 533.66 ล้านบาท แต่อาจไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายรายได้ที่วางไว้ 700 ล้านบาท หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอก3 ในปีนี้ส่งผลกระทบรุนแรง ทำให้ปริมาณการใช้ก๊าซ NGV ในประเทศลดลง ขณะที่คาดว่าภาพรวมของผลงานในช่วงครึ่งปีหลัง64 จะสามารถทำได้ใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก หลังบริษัทได้มีการยกเลิกสัญญาจ้างอัดก๊าซของสถานีก๊าซธรรมชาติหลักเอกชน (บ้านนา - แก่งคอย) จังหวัดสระบุรี ให้กับปตท.
อย่างไรก็ตามการยกเลิกสัญญาดังกล่าวจะทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ที่เป็นกำไรจากการจ่ายชดเชยของปตท.ให้กับบริษัทจำนวน 80 ล้านบาท ซึ่งถือว่าดีกว่าการรับรู้ผลขาดทุนที่ผ่านมาของสถานีก๊าซธรรมชาติจังหวัดสระบุรีจากการสถานการณ์ใช้งานก๊าซ NGV ที่ลดลงมาอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ ส่งผลให้ปริมาณยอดบรรจุก๊าซน้อยลงต่ำกว่าต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) ของบริษัท ทำให้กำไรของสถานีสระบุรีถดถอยลงเรื่อยๆและเริ่มขาดทุนในปีที่แล้วกว่า 10ล้านบาท ดังนั้นการยกเลิกสัญญาดังกล่าวจึงถือว่าเป็นผลดีของทั้งสองฝ่ายเพราะทางฝั่งปตท.เองก็ถือว่าได้สามารถบริหารจัดการซัพพลายที่มากเกินกว่าปริมาณดีมานด์ไปด้วย
“การยกเลิกสัญญาดังกล่าวถือว่าเป็นประโยชน์ต่อบริษัทอย่างมาก เพราะการได้เงินก้อน 80 ล้านบาทนี้ ทำให้เราสามารถนำเงินจำนวนนี้ ไปใช้ชำระหนี้บางส่วนได้ ซึ่งจะช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงินลงไปบ้างหรืออาจนำเงินไปใช้ในการลงทุนอื่นๆซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ และไม่ว่าจะเป็นการใช้เพื่อทางใดทางนึงก็ตามล้วนแล้วแต่จะเป็นการช่วยเพิ่มกำไรขั้นต้นให้กับบริษัทได้อย่างแน่นอน ซึ่งจากการพูดคุยกับทางปตท.แล้วนั้นคาดว่าเงินจากการชดเชยในส่วนนี้จะได้รับในช่วงไตรมาสที่1/65 ” นายจักรพงส์ กล่าว
ขณะเดียวกันบริษัทฯยังมีรายได้จากธุรกิจ N15 Technology เข้ามาช่วยหนุนตั้งแต่ในช่วงไตรมาสที่2/64 ซึ่งจะทำเป็นส่วนสำคัญในการหนุนรายได้ของบริษัทในปีนี้ให้เติบโตมีกำไรสุทธิได้ โดยปัจจุบันบริษัทได้มุ่งเน้นการทำ ขยะเชื้อเพลิง (Refuse Derived Fuel: RDF) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งทางSKE ได้มีโรงไฟฟ้าชีวมวลและมีการรับซื้อวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาเป็นขยะเชื้อเพลิงเพื่อใช้สำหรับผลิตไฟฟ้า เป็นการเพิ่มมูลค่าให้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนไปด้วย ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้มีการต่อสัญญากับผู้รับซื้อ RDF ซึ่งเป็นลูกค้าเดิมในปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นเป็น 72,000 ตันต่อปี จากสัญญาเดิมที่ขายปริมาณ 2,400 ตันต่อปี ซึ่งสัญญาจะสิ้นสุดลงในวันที่ 16 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ บริษัทฯได้วางเป้าหมายการเติบโตของบริษัทในอนาคต โดยยังคงเดินหน้าที่จะมีรายได้ 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2565 และต่อยอดโอกาสในการขยายธุรกิจให้สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจแบบใหม่ หรือ BCG โมเดล (Bio, Circular และ Green Economy) ทั้งธุรกิจบริหารจัดการขยะ การแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงขยะ โรงไฟฟ้า และธุรกิจอื่นๆ ด้านพลังงาน เพื่อให้ธุรกิจมีการเติบโตและพัฒนาอย่างยั่งยืนควบคู่กับการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม