Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews:ASW เคาะไอพีโอ 9.82 บ./หุ้น พร้อมเทรด SET 28 เม.ย.นี้

7,315

 

 


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(12 เมษายน 2564)------บมจ. แอสเซทไวส์ (ASW) เคาะขายไอพีโอหุ้นละ 9.82 บาท เตรียมเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 19 – 21 เม.ย.นี้ ได้ฤกษ์ดีเข้า SET วันที่ 28 เม.ย.นี้ ที่ปรึกษาทางการเงิน และแกนนำอันเดอร์ไรท์ฯ มั่นใจนักลงทุนให้การตอบรับคึกคัก ชูจุดเด่นเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯครบเครื่อง แบ็กล็อกรอโอนกว่า 7.8 พันล้านบาท ความสามารถการทำกำไรสูง Gross Profit Margin สูงกว่า 40% บิ๊กบอส "กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์" ปักหมุดปี 64 เปิด 6 โปรเจคใหม่ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท หนุนผลงานเติบโตโดดเด่น

 

นางยอดฤดี สันตติกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ หัวหน้าสายงานตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (ASW) เปิดเผยว่า ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 206 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท ในราคาหุ้นละ 9.82 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 8.54 เท่า (Post-IPO Dilution) ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ โดยจะเปิดให้จองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 19 – 21 เมษายน นี้ และคาดว่าสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 28 เมษายน 2564 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า "ASW" เข้าเทรดในหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

 

โดยมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 4 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

 

"การกำหนดราคาไอพีโอที่ 9.82 บาท/หุ้น คิดเป็น PE ที่ 8.5 เท่า คำนวณจากผลประกอบการปี 2563 เทียบกับ P/E ของกลุ่มอุตสาหกรรมที่ 11 เท่า คิดเป็นส่วนลดให้กับนักลงทุนประมาณ 23% ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน ซึ่ง ASW เป็นหุ้นที่น่าลงทุนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากที่โรดโชว์ไปแล้ว นักลงทุนมีความเข้าใจธุรกิจและทราบถึงแนวโน้มการดำเนินงานในอนาคต ซึ่งมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก ทำให้ได้รับความสนใจอย่างคึกคัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนสถาบันซึ่งได้ bookbuild เกินยอดที่จัดสรรไปประมาณ 6 เท่า" นางยอดฤดีกล่าว

 

นางศิริพร เหล่ารัตนกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า บมจ.แอสเซทไวส์ (ASW) เป็นบริษัทที่มีความสามารถในการพัฒนาโครงการที่ตรงความต้องการลูกค้า มีความโดดเด่นในด้านทำเลที่ตั้ง มีแบรนด์ที่มีลักษณะเฉพาะตัวเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรสูง เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ปีที่ผ่านมา อยู่ในระดับสูงกว่า 40% จากการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ประสบการณ์การดำเนินธุรกิจมายาวนาน

 

"เชื่อมั่นว่า ASW จะเป็นหุ้นที่สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ลงทุน เนื่องจากมีการเติบโตต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปีที่แล้ว มีแบ็กล็อกรอโอนกว่า 7,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ ไปจนถึงปี 2566"

 

นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แอสเซทไวส์ (ASW) กล่าวว่า บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปใช้ในการพัฒนาโครงการ ชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ ซึ่งจะครอบคลุมถึงการเปิดตัวโครงการใหม่ และการซื้อที่ดินเพื่อรองรับแผนการเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติมในอนาคต โดยในปีนี้ เตรียมเปิด 6 โครงการใหม่ มูลค่า 10,850 ล้านบาท

 

"หลังการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งมากขึ้น ต้นทุนทางการเงินลดลง ยกระดับชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับประเทศ เพิ่มโอกาสการเติบโตในอนาคต และมั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนในระยะยาวอย่างต่อเนื่องได้" นายกรมเชษฐ์ กล่าวในที่สุด

 

อนึ่ง ASW มีโครงการในมือทั้งหมด 33 โครงการ มูลค่า 30,420 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแล้วเสร็จ 25 โครงการมูลค่า 19,043 ล้านบาท , โครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้างและเปิดขาย 8 โครงการ มูลค่า 11,377 ล้านบาท และ 11 โครงการ มูลค่ารวม 21,202 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการในอนาคต ที่จะเปิดขายและพัฒนาในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า

 

 

บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในแต่ละปีในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวม หลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามกฎหมาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลประกอบของบริษัทในแต่ละปี อีกทั้งคณะกรรมการของบริษัทมีอำนาจในการพิจารณายกเว้นไม่ดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว หรือเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าวได้เป็นครั้งคราว โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่การดำเนินการดังกล่าวจะต้องก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถือหุ้นของบริษัท เช่น ใช้เป็นทุนสำรองสำหรับการชำระคืนเงินกู้ ใช้เป็นเงินลงทุนเพื่อขยายธุรกิจของบริษัท หรือกรณีมีการเปลี่ยนแปลงสภาวะตลาด ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัทในอนาคต

 

สำหรับการจ่ายเงินปันผลของบริษัทย่อย และ/หรือ บริษัทร่วมให้แก่บริษัทฯ จะขึ้นอยู่กับกระแสเงินสดและสภาพคล่อง รวมถึงความเหมาะสมและความต้องการในการใช้เงินของแต่ละบริษัท

 


เจาะธุรกิจ “ASW”

บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (“ASW” หรือ “บริษัทฯ”) ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยเรียกรวมบริษัทที่ ASW ถือหุ้น ว่า “กลุ่มบริษัท” โดยกลุ่มบริษัทประกอบด้วย ASW และบริษัทย่อยทั้งหมด 15 บริษัท ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลักคือ ธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ทั้งโครงการอาคารชุดที่พักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียม และโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทแนวราบ ได้แก่ บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ จำนวน 12 บริษัท และบริษัทย่อยอีก 3 บริษัท ประกอบธุรกิจอื่น ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย เช่น ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า, ธุรกิจรับฝากขายฝากเช่าอสังหาริมทรัพย์ เพื่อตอบสนองความต้องการและรองรับไลฟ์สไตล์ได้หลากหลายกลุ่มลูกค้า ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียงพอและครบครัน ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ…We Build Happiness

 

ลักษณะผลิตภัณฑ์และบริการของธุรกิจหลัก
1.ธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ โครงการอาคารชุดที่พักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียม และโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบ โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 กลุ่มบริษัทมีโครงการทั้งหมด 33 โครงการ ประกอบด้วย (1) โครงการที่พัฒนาเสร็จและปิดโครงการแล้ว จำนวน 5 โครงการ (2) โครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างการโอนกรรมสิทธิ์ จำนวน 20 โครงการ (3) โครงการที่อยู่ระหว่างการขายและก่อสร้าง จำนวน 5 โครงการ และ (4) โครงการที่อยู่ระหว่างการขายและรอการพัฒนา จำนวน 3 โครงการ


โครงการคอนโดมิเนียมที่พักอาศัย กลุ่มบริษัทพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ประเภทคอนโดมิเนียมทั้งแบบ High Rise และ Low Rise ภายใต้ชื่อโครงการหลักๆ ดังนี้
1) โครงการภายใต้ชื่อ “Atmoz” เป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise ความสูง 8 ชั้น เน้นการออกแบบที่ให้บรรยากาศเหมือนรีสอร์ทและใกล้ชิดธรรมชาติ เพื่อการใช้ชีวิตที่ผ่อนคลายของคนเมือง มีส่วนกลางขนาดใหญ่และสระว่ายน้ำ 2 สระ รูปแบบห้องมีทั้งห้องสตูดิโอ และ 1 - 2 ห้องนอน ขนาดห้องตั้งแต่ 20 - 54 ตารางเมตร ราคาขายอยู่ระหว่าง 72,000 บาท ถึง 94,000 บาท ต่อตารางเมตร ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย คือ ลูกค้ากลุ่มวัยทำงาน อายุ 23 – 35 ปี ที่มีรายได้ระดับกลาง ประมาณ 20,000 - 50,000 บาท ต่อเดือน ปัจจุบันกลุ่มบริษัทได้พัฒนาโครงการภายใต้ ชื่อโครงการ “Atmoz” ทั้งหมด 4 โครงการ ได้แก่ Atmoz ลาดพร้าว 71, Atmoz ลาดพร้าว 15, Atmoz รัชดา-ห้วยขวาง และ Atmoz แจ้งวัฒนะ


2) โครงการภายใต้ชื่อ “Modiz” เป็นโครงการคอนโดมิเนียมเน้นการตกแต่งสไตล์โมเดิร์นผสมผสานกับความหรูหราได้อย่างลงตัว มีเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ทำให้การใช้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น รูปแบบห้องมี 1 - 2 ห้องนอน ทั้งแบบชั้นเดียวและ 2 ชั้น (Duplex) ขนาดห้องตั้งแต่ 23 - 105 ตารางเมตร โดยลักษณะโครงการจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 สำหรับโครงการที่เริ่มขายในปี 2556 ถึงปี 2560 เป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise ความสูง 8 ชั้น เน้นทำเลแถวถนนรัชดา-ลาดพร้าวและใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีชมพูเป็นหลัก ได้แก่ โครงการ Modiz ลาดพร้าว 18, Modiz Station, Modiz Interchange และ Modiz รัชดา 32 ราคาขายอยู่ระหว่าง 86,000 บาท ถึง 98,000 บาทต่อตารางเมตร ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย คือ ลูกค้ากลุ่มวัยทำงานอายุ 25 – 45 ปี ที่มีรายได้ระดับกลาง ประมาณ 30,000 - 50,000 บาท ต่อเดือน และช่วงที่ 2 สำหรับโครงการที่เริ่มขายในปี 2561 ถึงปัจจุบัน เป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบบ High Rise ได้แก่ โครงการ Modiz สุขุมวิท 50, Modiz Collection บางโพ, Modiz Rhyme รามคำแหง และ Modiz Launch ราคาขายอยู่ระหว่าง 92,000 บาท ถึง 133,000 บาทต่อตารางเมตร ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย คือ ลูกค้ากลุ่มวัยทำงานอายุ 25 – 45 ปี ที่มีรายได้ระดับกลางบน ประมาณ 35,000 - 100,000 บาทต่อเดือน


3) โครงการภายใต้ชื่อ “Kave” เป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise ความสูง 8 ชั้น เน้นทำเลใกล้กับสถานศึกษาและมหาวิทยาลัยชั้นนำ มีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่และฟังก์ชั่นการใช้งานหลากหลาย เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ เช่น ห้อง E-sport, Co-working space, ห้องสำหรับทำ Workshop รูปแบบห้องมี 1 - 2 ห้องนอน ตั้งแต่ 23 - 44 ตารางเมตร ราคาขายอยู่ระหว่าง 46,000 บาท ถึง 72,000 บาทต่อตารางเมตร ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคือผู้ปกครองนักศึกษามหาวิทยาลัยและลูกค้ากลุ่มวัยทำงานอายุ 28 – 45 ปี ที่มีรายได้ระดับกลาง ประมาณ 30,000 - 50,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มนักลงทุนที่มีรายได้มากกว่า 100,000 บาทต่อเดือน ปัจจุบันกลุ่มบริษัทได้พัฒนาโครงการภายใต้ ชื่อโครงการ “Kave” ทั้งหมด 4 โครงการ ได้แก่ Kave Condo, Kave Town Space, Kave Town Shift และ Kave TU


4) โครงการภายใต้ชื่อ “”Wynn” เป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise ความสูง 8 ชั้น เน้นการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ Eco lifestyle เพิ่มพื้นที่สีเขียวในย่านใจกลางเมือง รูปแบบห้องมี Studio และ 1 - 2 ห้องนอน ขนาดห้องตั้งแต่ 22 - 54 ตารางเมตร ราคาขายอยู่ระหว่าง 68,000 บาท ถึง 72,000 บาท ต่อตารางเมตร ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย คือ ลูกค้ากลุ่มวัยทำงานอายุ 25 – 45 ปี ที่มีรายได้ระดับกลาง ประมาณ 25,000 - 50,000 บาทต่อเดือน ปัจจุบันกลุ่มบริษัทได้พัฒนาโครงการภายใต้ ชื่อโครงการ “Wynn” ทั้งหมด 2 โครงการ ได้แก่ Wynn พหลโยธิน 52 และ Wynn โชคชัย 4


5) โครงการภายใต้ชื่อ “Brown” เป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise ความสูง 7 - 8 ชั้น ตกแต่งตามสถาปัตยกรรมประเทศฝรั่งเศส เน้นสีโทนน้ำตาลทองเป็นหลัก ให้บรรยากาศหรูหราและอบอุ่น รูปแบบห้องมี 1 - 2 ห้องนอน ขนาดห้องตั้งแต่ 22 - 49 ตารางเมตร ราคาขายอยู่ระหว่าง 73,000 บาท ถึง 100,000 บาทต่อตารางเมตร ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย คือ ลูกค้ากลุ่มวัยทำงานอายุ 25 – 45 ปี ที่มีรายได้ระดับกลาง ประมาณ 20,000 - 50,000 บาทต่อเดือน ปัจจุบันกลุ่มบริษัทได้พัฒนาโครงการภายใต้ ชื่อโครงการ “Brown” ทั้งหมด 3 โครงการ ได้แก่ Brown รัชดา 32, Brown พหลโยธิน 67 และ Brown รัชดา-ห้วยขวาง


6) โครงการภายใต้ชื่อ “Ivory” เป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise ความสูง 8 ชั้น ตกแต่งตามสไตล์อังกฤษด้วยลวดลายของงานหินกับพื้นผิวโทนสีทองและสีขาวไข่มุก ให้บรรยากาศสงบและเรียบหรู เป็นแบบ 1 ห้องนอน ขนาดห้องตั้งแต่ 26 - 41 ตารางเมตร ราคาขายประมาณ 84,000 บาท ต่อตารางเมตร ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย คือ ลูกค้ากลุ่มวัยทำงานอายุ 30 - 55 ปี ที่มีรายได้ระดับกลาง ประมาณ 30,000 - 50,000 บาทต่อเดือน ปัจจุบันกลุ่มบริษัทได้พัฒนาโครงการภายใต้ ชื่อโครงการ “Ivory” ทั้งหมด 1 โครงการ ได้แก่ Ivory รัชดา 32

 

โครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบ กลุ่มบริษัทพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ภายใต้ชื่อโครงการหลักๆ ดังนี้

1) โครงการภายใต้ชื่อ “Glam” เป็นโครงการทาวน์โฮม 3.5 ชั้น หน้ากว้าง 5 - 7 เมตร จำนวน 18 ยูนิต ตกแต่งสไตล์หรูหรา โดดเด่นด้วยเพดานสูงถึง 5.2 เมตร ชั้นลอยที่เปิดกว้างและการออกแบบให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น แบบทาวน์โฮมมี 2 แบบ คือ Glam และ Glamorous พื้นที่ใช้สอย 298 – 385 ตารางเมตร ห้องนอน 3 ห้อง ห้องน้ำ 4 ห้องและที่จอดรถ 3 - 4 คัน ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย คือ ลูกค้ากลุ่มวัยทำงานระดับผู้บริหารอายุ 35 – 45 ปี ที่มีรายได้ครอบครัวมากกว่า 250,000 บาทต่อเดือน หรือเจ้าของธุรกิจอายุ 30 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้หมุนเวียน 10 ล้านบาทต่อปี

2) โครงการภายใต้ชื่อ “บ้านภูริปุรี” เป็นโครงการทาวน์โฮม 3.5 ชั้น เน้นออกแบบให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและมีเพดานสูงเพื่อให้มีความโปร่งและรับลมธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ กลุ่มเป้าหมายคือลูกค้ากลุ่มวัยทำงานหรือเจ้าของธุรกิจอายุประมาณ 30 - 45 ปี รายได้ประมาณ 100,000 – 250,000 บาทต่อเดือน
ลักษณะผลิตภัณฑ์และบริการของธุรกิจอื่น

2.ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า เช่น ให้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงานขาย ให้เช่าพื้นที่ภายใน Community mall เป็นต้น ทั้งนี้ บริษัทย่อยได้เริ่มสร้าง Community mall ชื่อ “Mingle” ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าโครงการ Kave Town เพื่อให้ลูกค้าของโครงการมีแหล่งช้อปปิ้งใกล้กับที่พักอาศัยและได้รับความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอย โดยได้เปิดให้บริการโซนศูนย์อาหารตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 และเปิดบริการทุกโซนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดย Mingle มี 2 ชั้น โดยชั้น1 เปิดเป็นพื้นที่ให้เช่าสำหรับร้านอาหารและร้านค้า จำนวน 55 ร้าน พื้นที่ให้เช่า 2,548 ตารางเมตร ส่วนชั้น 2 จัดเป็น Co-working space และร้านค้า


3.ธุรกิจรับฝากขายฝากเช่าอสังหาริมทรัพย์ โดยให้บริการรับฝากขายและฝากเช่าสำหรับทุกโครงการอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มบริษัทผ่านทาง website เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าของกลุ่มบริษัทที่ต้องการขายหรือปล่อยเช่าห้องชุดคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ และสะดวกต่อบุคคลภายนอกในการค้นหาได้ครบทุกโครงการภายในที่เดียว โดยจะคิดค่าธรรมเนียมและค่าดำเนินการจากการฝากขายฝากเช่าดังกล่าว


4.ธุรกิจตัวกลางในการรับชำระเงินจากลูกค้าต่างประเทศ โดย Priv Solution ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรับชำระเงินจากลูกค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะลูกค้าชาวจีน สำหรับการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มบริษัท

---จบ---

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้