
HotNews : IRCP หวังปีนี้เข้าป้ายเทิร์นอะราวด์
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (17 มีนาคม 2564) "แดน เหตระกูล" แห่ง IRCP เปิดแผนปีนี้มุ่งเข้าป้ายเทิร์นอะราวด์ คาดรายได้ปีนี้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 50% มั่นใจแผนปรับโครงสร้างทุนฉลุย เตรียมเงินขยายธุรกิจเต็มสูบ เล็งเข้าประมูลงานรัฐ 20 โครงการ มูลค่ากว่า 1 พันลบ.
นายแดน เหตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IRCP ผู้ดำเนินธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 34 ปี เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่คณะกรรมการมีมติให้มีการปรับโครงสร้างทุนครั้งใหญ่ของบริษัท โดยให้มีการลดทุนและเพิ่มทุนจดทะเบียน ด้วยการลดมูลค่าราคาพาร์จาก 1 บาท เหลือ 0.50 บาท และเพิ่มทุนจดทะเบียนขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมนั้น เป้าหมายของการดำเนินการทั้งหมดเพื่อให้ IRCP มีโครงสร้างทุนที่แข็งแกร่ง และมีเงินทุนใหม่ เพื่อนำมารองรับการขยายธุรกิจ และรับงานใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเติบโต ทำให้ผลดำเนินงานกลับมาเทิร์นอะราวด์ มีรายได้และกำไรเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและเพื่อนำกำไรและส่วนเกินผู้ถือหุ้นมาล้างขาดทุนสะสม เพื่อให้สามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ หลังจากที่ผู้ถือหุ้นไม่ได้รับผลตอบแทนเป็นเงินปันผลมานาน
ทั้งนี้ ล่าสุด บริษัทได้รับหนังสือแจ้งจากทางสำนักงานประกันสังคม(สปส.)ว่าเป็นผู้ชนะการเสนอราคาในโครงการปรับเปลี่ยนระบบงานประกันสังคมบนเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมเป็นระบบ Web Application ตามประกาศสำนักงานประกันสังคม เรื่องประกาศผู้ชนะการเสนอราคา ประกวดราคาจ้างโครงการปรับเปลี่ยนระบบงานประกันสังคมบนเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมเป็นระบบ Web Application ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) โดยเสนอราคาเป็นเงินทั้งสิ้น 837.88 ล้านบาท ซึ่งถ้าหากไม่มีการยื่นอุทธรณ์จากผู้ร่วมประมูลรายอื่นภายใน 7วันก็จะเข้าสู่ขั้นตอนในการเซ็นสัญญาต่อไป
แผนปรับโครงสร้างทุนทั้งหมด เมื่อได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ในวันที่ 9 เมษายน 2564 นี้แล้ว บริษัทจะมีการลดทุนและคาดว่าจะมีการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นได้ช่วงเดือน ก.ค.2564 และจะมีการล้างขาดทุนสะสมบางส่วน จาก ณ สิ้นปี 2563 ในงบการเงินเฉพาะกิจการมีขาดทุนสะสมอยู่ 297 ล้านบาท ก็จะลดลงเหลือเพียง 27.47 ล้านบาท และคาดว่าผลดำเนินงานที่เทิร์นอะราวด์ ได้อย่างต่อเนื่อง จะทำให้สามารถล้างขาดทุนได้หมดภายในปีหน้า
"เงินที่ได้จากการเพิ่มทุนยังจะทำให้บริษัทมีสภาพคล่อง มีความคล่องตัวและทำให้มีความสามารถในการรับงาน ได้เพิ่มขึ้น เพราะมีแหล่งเงินทุนใหม่เข้ามา จากเดิมที่กว่า 70% เป็นเงินกู้จากสถาบันการเงิน และ30% เป็นเงินส่วนทุนของบริษัท ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถขยายกิจการ รองรับการประมูลงานในโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐได้มากขึ้น โดยปีนี้มีแผนเข้าร่วมประมูลงานภาครัฐมากกว่า 20 โครงการ มูลค่ารวมกันมากกว่า 1 พันล้านบาท เพื่อเพิ่มมูลค่างานในมือ (backlog) ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้และความมั่นคงให้กับบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตั้งเป้าหมายว่า ในปี 2564 จะสร้างรายได้ให้เติบโตขึ้นจากปี 2563 เกินกว่า 50 % โดยสิ้นปี 2563 บริษัทมีรายได้ 942.26 ล้านบาท และยังมีงานในมือที่เตรียมทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 2564 อีกราว 350 ล้านบาท" นายแดนกล่าว
ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการเพิ่มทุน นอกจากทำให้โครงสร้างทุนแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ยังทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดยหลังเพิ่มทุนสำเร็จจะกดให้หนี้สินต่อทุนลดลงทันที ส่งผลให้ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของบริษัทดีขึ้น และทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง
นายแดนกล่าวด้วยว่า มั่นใจว่าผู้ถือหุ้นจะให้การสนับสนุนการเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อสร้างการเติบโตและความมั่นคงให้กับบริษัท ทั้งนี้ จะมีการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน ให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) จำนวน 181.25 ล้านหุ้น ในสัดส่วน 1.4 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นเพิ่มทุนใหม่ โดยเสนอขายที่ราคา 0.80 บาท คิดเป็นมูลค่าการระดมทุนทั้งสิ้น 145 ล้านบาทและเป็นการเสนอขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาหุ้นในตลาด จึงมั่นใจว่าผู้ถือหุ้นจะให้การสนับสนุนการเพิ่มทุนในครั้งนี้อย่างแน่นอน และที่สำคัญตนและนายประชา เหตระกูล ซึ่งเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่พร้อมใช้สิทธิเพิ่มทุนเต็มสิทธิที่ได้และพร้อมใช้สิทธิส่วนเกินหากมีหุ้นเพิ่มทุนเหลืออยู่
"ผมและคุณพ่อคือนายประชา เหตระกูล พร้อมใช้สิทธิในการเพิ่มทุนเต็มที่ตามสิทธิที่ถือหุ้นอยู่ และพร้อมใช้เกินส่วนสิทธิ หากมีผู้ถือหุ้นรายอื่นไม่ใช้สิทธิ เพราะเรามีความพร้อมและมีความมั่นใจในทิศทางธุรกิจ ที่สำคัญเรามีความมุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับบริษัท โดยตลอด 1 ปี 8 เดือน ที่ผมเข้ามาเป็นซีอีโอธุรกิจกลับมาเทิร์นอะราวด์ได้อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากปี 2563 ที่พลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 7.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 107.39 % เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 101.45 ล้านบาท ซึ่งผมและคุณพ่อได้แจ้งเจตจำนงต่อที่ประชุมบอร์ดไปแล้ว ในการขอผ่อนผันการเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้นทั้งหมด กรณีที่ต้องใช้สิทธิเพิ่มทุนในส่วนเกินสิทธิจนอาจทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นจนเข้าเกณฑ์ต้องทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ เพราะต้องการให้ IRCP ยังคงเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์" นายแดนกล่าว
นายแดน กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ คาดปี 2564 รายได้รวมของบริษัทฯ จะอยู่ที่ระดับ 1,500-2,000 ล้านบาท หรือเติบโต 50% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 942.26 ล้านบาท โดยมาจากการรับรู้รายได้จากงานประมูลประกันสังคมประมาณ 30% ของมูลค่างานทั้งหมด 837 ล้านบาท และรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) อีก 350 ล้านบาท ประกอบกับยังมีแผนเข้าประมูลงานภาครัฐมากกว่า 20 โครงการ มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้งานจากรัฐอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี
“ทุกครั้งที่เราเข้าประมูลงานใหม่ๆ เรามีความคาดหวังว่าจะได้งานเสมอ ซึ่งการรับงานใหม่ๆนั้น ก็เพื่อสร้างการเติบโต และทำให้ผลดำเนินงานกลับมาเทิร์นอะราวด์ มีรายได้และกำไรเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และในท้ายที่สุดเพื่อนำกำไรและส่วนเกินผู้ถือหุ้นมาล้างขาดทุนสะสม และสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ หลังจากที่ผู้ถือหุ้นไม่ได้รับผลตอบแทนเป็นเงินปันผลมานาน” นายแดน กล่าว
ขณะที่ล่าสุด บริษัทฯได้รับหนังสือแจ้งจากทางสำนักงานประกันสังคม(สปส.)ว่าเป็นผู้ชนะการเสนอราคาในโครงการปรับเปลี่ยนระบบงานประกันสังคมบนเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมเป็นระบบ Web Application ตามประกาศสำนักงานประกันสังคม เรื่องประกาศผู้ชนะการเสนอราคา ประกวดราคาจ้างโครงการปรับเปลี่ยนระบบงานประกันสังคมบนเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมเป็นระบบ Web Application ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) โดยเสนอราคาเป็นเงินทั้งสิ้น 837.88 ล้านบาท ซึ่งถ้าหากไม่มีการยื่นอุทธรณ์จากผู้ร่วมประมูลรายอื่นภายใน 7 วันก็จะเข้าสู่ขั้นตอนในการเซ็นสัญญาต่อไป โดยอายุสัญญา 3 ปี ถ้าหมดอายุจะมีได้รายได้จากค่าดูแลระบบต่อเนื่องในอนาคต
ด้านบริษัท ไอที กรีน จำกัด (ITG) ที่เป็นบริษัทย่อยของ IRCP ที่ถือหุ้นอยู่ 91.14% ซึ่งผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าไอทีประเภทผลิตภัณฑ์ระดับองค์กร โดยคาดว่าปีนี้จะมีรายได้มากกว่า 500 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 486.51 ล้านบาท บริษัทฯมั่นใจว่าธุรกิจของ ITG ยังมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัลมากขึ้น ทำให้มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพิ่มขึ้น ถือเป็นโอกาสของธุรกิจภายใต้ภาวะวิกฤติโควิดที่เกิดขึ้น
ปัจจุบัน ITG มีเครือข่ายข้อมูลทั้งแบบมีสายและไร้สาย (Wired & Wirelees Network) ขณะที่ “ความปลอดภัยทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร” (ICT Security) และ“ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล” (Data Privacy) ถือเป็นโอกาสของธุรกิจอุปกรณ์เครือข่ายและโปรแกรมระบบรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย ที่มีแนวโน้มเติบโตได้อีกมากตามธุรกรรมบนโลกออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น เพราะสินค้าหลักของ ไอทีกรีน คือ สินค้าที่จัดการเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยข้อมูลให้กับองค์กร ภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์ด้าน Network & Security ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าว่าจะสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นทุกปีและเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1,000 ล้านบาทต่อปีให้ได้ภายใน 5 ปีนี้ (64-68) และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วงปี 2567
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีความคาดหวังว่าผู้ถือหุ้นจะให้การสนับสนุนการเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อสร้างการเติบโตและความมั่นคงให้กับบริษัท โดยจะมีการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน ให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) จำนวน 181.25 ล้านหุ้น ในสัดส่วน 1.4 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นเพิ่มทุนใหม่ โดยเสนอขายที่ราคา 0.80 บาท คิดเป็นมูลค่าการระดมทุนทั้งสิ้น 145 ล้านบาท และเป็นการเสนอขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาหุ้นในตลาด จึงมั่นใจว่าผู้ถือหุ้นจะให้การสนับสนุนการเพิ่มทุนในครั้งนี้อย่างแน่นอน
ด้านนายอดิศร สิงห์ฤาเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอที กรีน จำกัด (มหาชน) (ITG) บริษัทย่อย ที่ IRCP ถือหุ้นอยู่ 91.14% ผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าไอทีประเภทผลิตภัณฑ์ระดับองค์กร กล่าวว่า ที่ผ่านมา ITG มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นโดยตลอดมา มีเพียงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่มีการระบาดของโควิด-19 และมีการปรับพอร์ตสินค้า ทำให้ยอดขายลดลงมาบ้าง แต่บริษัทยังคงทำกำไรได้ทุกปี ซึ่งในปี 2563 มีรายได้ 486.51 ล้านบาท และมั่นใจว่าธุรกิจของ ITG ยังมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัลมากขึ้น ทำให้มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพิ่มขึ้น ถือเป็นโอกาสของธุรกิจภายใต้ภาวะวิกฤติโควิดที่เกิดขึ้น
"เครือข่ายข้อมูลทั้งแบบมีสายและไร้สาย (Wired & Wirelees Network) ขณะที่ "ความปลอดภัยทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร" (ICT Security) และ"ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล" (Data Privacy) ถือเป็นโอกาสของธุรกิจอุปกรณ์เครือข่ายและโปรแกรมระบบรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย ที่มีแนวโน้มเติบโตได้อีกมากตามธุรกรรมบนโลกออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น เพราะสินค้าหลักของ ไอทีกรีน คือ สินค้าที่จัดการเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยข้อมูลให้กับองค์กร ภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์ด้าน Network & Security ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าว่าจะสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นทุกปีและเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1,000 ล้านบาทต่อปีให้ได้ภายใน 5 ปีนี้" นายอดิศร กล่าว