HotNews: ARROW ตั้งเป้ารายได้ปี61 โตกว่า 10-15%
VTE ส่งสัญญาณปีหน้ารายได้โตสวย
PRM เล็งรายได้ปี 61โต 11-12%
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 4 ธันวาคม 2560)------- ARROW ตั้งเป้ารายได้ปี 61 โตไม่ต่ำกว่า 10-15% จากปีนี้มั่นใจโตตามเป้า 10% มองงบQ4/60 ดีที่สุดของปีนี้
VTE คาดรายได้ปี61 โตกว่าปีนี้ หลังรับรายรู้ฯ งานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเมียนมา แย้มอยู่ระหว่างศึกษาลงทุนโซลาร์ฟาร์ม- โรงไฟฟ้าใต้พิภพในตปท.ร่วมกับพันธมิตร คาดสรุปปี61
PRM ตั้งเป้ารายได้ปี 61โต 11-12% ทุ่มงบกว่า 7 พันลบ. ซื้อเรือ 10 ลำ
นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) (ARROW) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 61 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15% จากปีนี้ทำรายได้โตตามเป้า 10% หลังเตรียมรับรู้รายได้จากงานที่อยู่ในมือ (Backlog) จำนวน 680 ล้านบาท เนื่องจากสัญญาของบริษัทเป็นปีต่อปี และ ล่าสุดยังรับงานเพิ่มอีก 120 ล้านบาท โดยเป็นงานสุวรรณภูมิเฟส 2 ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปี 61
อีกทั้งบริษัทยังมีแผนเข้าประมูลงานใหม่ไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งเป็นงานรถไฟรางคู่ และ รถไฟสายสีต่างๆ โดยคาดหวังได้งานไม่ต่ำกว่า 70%
พร้อมกันนี้บริษัทตั้งเป้าปี 61 จะผลักดันสัดส่วนการรับงานภาครัฐสูงขึ้น หลังโครงการต่างๆ จะทยอยเดินหน้ามากขึ้นกว่าปีนี้ แต่งานภาคเอกชน ยังรับงานต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทได้เพิ่มกำลังการผลิต 3 เท่า
สำหรับธุรกิจท่อร้อยสายไฟใต้ดิน โดยใช้งบลงทุน 28 ล้านบาท และ คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/61
ส่วนการก่อสร้างแบบงานท่อหุ้มเหล็กเสริมในพื้น (Post tension) บริษัทได้ติดตั้งเครื่องจักร คาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 3/61 โดยใช้งบลงทุน 15 ล้านบาท โดยงาน Post tension ตั้งเป้าไว้ว่าภายใน 3 ปี หรือ ภายในปี 63 ต้องมีรายได้ 300 ล้านบาท หรือ คิดเป็นสัดส่วน 20% ของรายได้รวม
นายธานินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทยังคงมีนโยบายเพิ่มยอดขายเพื่อให้ผลิตสินค้าได้เต็มกำลังการผลิต พร้อมปรับราคาขายสินค้าและบริการให้เป็นไปตามราคาตลาดควบคู่กับการรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 25-30% ส่วนรายได้รักษาการเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10-15% ต่อปี
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คาดว่าจะออกมาอยู่ในทิศทางที่ดีเมื่อเทียบกับทุกไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากครึ่งปีหลังเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ซึ่งจะมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างสม่ำเสมอจากงานรับเหมาก่อสร้างที่ยังเติบโต ประกอบกับทยอยรับรู้รายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ อุปกรณ์ในการก่อสร้างระบบ Post tension ซึ่งกำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 20%
“เราเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกของผลประกอบการไตรมาส 4/2560 เนื่องจากเป็นช่วงที่ปริมาณงานบริการรับเหมาก่อสร้างเข้ามาจำนวนมาก จากการที่ภาครัฐเร่งผลักดันให้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งโครงการรถไฟฟ้า และการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าจากอากาศลงใต้ดิน ประกอบกับทยอยรับรู้รายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่จะเข้ามาช่วยซับพอร์ตธุรกิจเดิมที่บริษัทดำเนินการอยู่ ซึ่งถือเป็นรายได้เสริมที่ช่วยหนุนผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงมองว่าไตรมาส4 ปีนี้จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุด”นายธานินทร์กล่าว
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้ผลการดำเนินงานเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยปีนี้บริษัทให้ความสำคัญในเรื่องของการลงทุน ซึ่งไตรมาส4 นี้ เครื่องจักรผลิตท่อร้อยสายไฟที่ได้รับบัตรส่งเสริมก็เริ่มทำการผลิต รวมทั้งการลงทุนเพิ่มเครื่องจักรในการเพิ่มกำลังการผลิตในผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องและรองรับการขยายตัวจากโครงการภาครัฐที่คาดว่าจะส่งผลในปี 2561
นายศุภศิษฏ์ โภคินจารุรัศมิ์ กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท วินเทจ วิศวกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ VTE เปิดเผยว่าบริษัทคาดว่ารายได้ในปี61 จะโตกว่าปีนี้ เนื่องจากบริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเมียนมาราว 2.5 พันล้านบาทในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการติดตั้งซึ่งคาดว่าการดำเนินงานและรับรู้รายได้เป็นไปตามแผน
ทั้งนี้งานโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในเมียนมา มูลค่างานก่อสร้าง 1หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทจะทยอยรับรู้รายได้ปีละ 2.5 พันล้านบาท เป็นเวลา 4 ปี รวมถึงบริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้น 12 % ในโครงการดังกล่าว โดยบริษัทจะรับรู้เป็นกำไรของโครงการดังกล่าวตามสัดส่วนการถือหุ้น ทั้งนี้ในเฟสแรกจะเริ่มจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส2/61-3/61 หรือหลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยในเฟสแรกมีกำลังการผลิตราว 50 เมกะวัตต์ ส่วนการจ่ายไฟเชิงพาณิชย์จนครบ 220 เมกะวัตต์คาดว่าจะเริ่มได้ในปี 64
นอกจากนี้บริษัทยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบสถานะทรัพย์สิน (Due Diligence) และวางมัดจำในโครงการโซลาร์ฟาร์มที่ประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิตมากกว่า 10 เมกะวัตต์ โดยเป็นการร่วมทุนกันกับพันธมิตรในประเทศไต้หวัน ซึ่งคาดว่าจะสามารถเข้าลงทุนและเริ่มก่อสร้างไปจนถึงดำเนินการจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 61 เนื่องจากการลงทุนโครงการดังกล่าวไซต์ไม่ได้ใหญ่มากจึงใช้กระบวนการต่างๆค่อนข้างสั้น
ขณะเดียวกันบริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าใต้พิภพในประเทศฟิลิปปินส์ จำนวนกำลังการผลิตราว 25 เมกะวัตต์ โดยจะเป็นการร่วมทุนกันกับพันธมิตรในท้องถิ่นซึ่งคาดจะสามารถสรุปและก่อสร้างได้ภายในปี61
นายชาญวิทย์ อนัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) PRM เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 61 เติบโต 11-12 % ต่อเนื่องจากปีนี้ โดยบริษัทยังวางแผนซื้อเรือเพิ่มอีก 10 ลำ ด้วยมูลค่าลงทุนกว่า 7 พันล้านบาท ประกอบด้วยเรือขนาดเล็กจำนวน 1 ลำ และเรือขนาดใหญ่จำนวน 6 ลำ ,เรือ FSU จำนวน 1 ลำ และเรือOffshore จำนวน 2 ลำ เป็นต้ ทำให้ปี 2561 บริษัทคาดว่าจะมีกองเรือกว่า 36 ลำ
พร้อมกันนี้บริษัทยังเดินหน้าในการเจรจาลูกค้าใหม่เพิ่ม
ทั้งนี้ตามแผน3ปี (60-62) บริษัทได้กำหนดแผนที่จะลงทุนธุรกิจเรือขนส่งโดยบริษัทจะลงทุนเรือขนส่งขนาดบรรทุก 3,000-10,000 DWT ประมาณ 9 ลำ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 2,340 ล้านบาท คาดรองรับปริมาณขนส่งสินค้าจากการลงทุนในครั้งนี้เพิ่มขึ้น 3,800 ล้านลิตรต่อปี และลงทุนเรือขนส่งขนาดใหญ่ ประมาณ 11 ลำ ประกอบด้วยเรือขนาดประมาณ 14,000 DWT เรือ MR เรือ LR2 เรือ Aframax และเรือ VLCC เพื่อการเติบโตของธุรกิจขนส่ง รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU มูลค่าโครงการรวมประมาณ 6,890 ล้านบาท คาดจะช่วยเพิ่มปริมาณขนส่งอีก 16,700 ล้านลิตรต่อปี
ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/60 บริษัทคาดว่าผลประกอบการจะเติบโตดีกว่าไตรมาส 3/2560 เนื่องจากช่วงไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจที่เป็นช่วงฤดูหนาว และเทศกาลท่องเที่ยวทำให้มีอัตราการขนส่งที่มากกว่าทุกไตรมาส โดยทั้งปีบริษัทยังคงเป้ารายได้ เติบโต 11-12% จากปีก่อนที่มีรายได้ 4.29 พันล้านบาท โดย 9 เดือน ปี 2560 มีรายได้อยู่ที่ 3.42 พันล้าบาท
อย่างไรก็ตามความสามารถในการทำกำไรอาจจะต่ำกว่าปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้ค่าเสื่อมราคา รวมไปถึงรายได้ของเรือ Aframax ลดลงจากการเพราะความผันผวนทางด้านต้นทุน แต่บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์มาทำสัญญาแบบ Time Charter ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นสัญญาระยะยาวและจะไม่ต้องเผชิญกับความผันผวนจากต้นทุนพลังงาน เนื่องจากลูกค้าผู้เช่าเรือจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และชำระค่าเช่าให้แก่ PRM ดังนั้นรายได้จากกลุ่มเรือ Aframax จะมีลักษณะเป็นรายได้คงที่มากขึ้น รวมไปถึงการใช้กำลังการผลิตของเรือ FSU ลดลง
---จบ---