HotNews : IND เคาะราคาไอพีโอ 1.10 บ./หุ้น เล็งเทรด mai 22 ธ.ค.นี้

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 8 ธันวาคม 2563) "IND" เคาะราคาขายหุ้นไอพีโอราคาหุ้นละ 1.10 บาท จำนวน 90 ล้านหุ้น ตั้ง FSS เป็นลีดอันเดอร์ไรท์เตอร์ เปิดจองซื้อ 14-16 ธ.ค.63 เตรียมเทรดเข้า mai 22 ธ.ค.นี้

 

นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ IND เปิดเผยว่า บมจ. อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป ได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น (อันเดอร์ไรท์เตอร์) พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายอีก 6 แห่ง

 

 

ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ,บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ,บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์ เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ,บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ,บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ,บริษัท หลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

 

 

นายเสกสรรค์ ธโนปจัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า IND เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO จำนวน 90 ล้านหุ้นหรือคิดเป็นสัดส่วน 25.71% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยในวันที่ 4 ธันวาคม 2563 สำนักงาน ก.ล.ต. ได้แจ้งให้แบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนมีผลใช้บังคับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

"คาดว่าหุ้น IND จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดี เนื่องจากนับแต่เดือนที่ผ่านมาได้มีการนำเสนอข้อมูลหลักทรัพย์ หรือ โรดโชว์ ใน 9 จังหวัด และยังมีการนำเสนอข้อมูลแก่นักวิเคราะห์ เจ้าหน้าที่การตลาด ณ ห้องค้าบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ โดยได้รับความสนใจจากนักลงทุนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ประกอบกับวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจของบริษัทฯรวมถึงความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ของบริษัท และทีมผู้บริหารที่มีความสามารถ ทำให้บริษัทฯมีความน่าสนใจต่อนักลงทุนและเป็นหุ้นที่สร้างผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจให้กับนักลงทุนได้"

 

 

 

 

 

 

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ IND กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 90 ล้านหุ้น มีการกำหนดราคาอยู่ที่หุ้นละ 1.10 บาท ถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสม และสอดคล้องกับสภาวะของตลาดปัจจุบัน โดยกำหนดวันจองซื้อระหว่างวันที่ 14-16 ธันวาคม 2563 และคาดว่าจะนำหุ้น IND จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในเดือนธันวาคม 2563

 

 

ดร.ชัยณรงค์ ณ ลำพูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ IND กล่าวว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้รับจากการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ เป็นเงินทุนในการลงทุนในระบบคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และซอฟต์แวร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการให้บริการ ภายในปี 2565 และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ภายในปี 2564

 

 

"บริษัทฯ ก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2526 โดยกลุ่มวิศวกรโดยบริษัทมีความเชี่ยวชาญทางด้านที่ปรึกษาทางด้านวิศวกรรม ปัจจุบันการให้บริการของบริษัทสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) งานออกแบบเบื้องต้น และออกแบบรายละเอียด (Conceptual Design & Detailed Design) 2) งานบริหารงานโครงการและควบคุมงานก่อสร้าง (Project Management & Construction Supervision) และ 3) งานออกแบบพร้อมก่อสร้าง (Design-Build) ให้แก่ลูกค้าทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จะเป็นการช่วยให้บริษัทมีความน่าเชื่อ และเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต" ดร.ชัยณรงค์ กล่าว

 

 

 

 

IND จะเสนอขายไอพีโอ 90 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ: 25.71 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ แบ่งเป็น1)เสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์: 67,500,000 หุ้น หรือ ร้อยละ 75.00 2) เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัท : 13,500,000 หุ้น หรือ ร้อยละ 15.00 3) เสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของบริษัท: 9,000,000 หุ้น หรือ ร้อยละ 10.00

 

 

"การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทที่เสนอขายในครั้งนี้ พิจารณาจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio : P/E) ทั้งนี้ ราคาหุ้นที่เสนอขายหุ้นละ 1.10 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ เท่ากับ 34.25 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลังตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 ซึ่งมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่เท่ากับ 11.24 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 350 ล้านหุ้น (Fully Diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share) เท่ากับ 0.03 บาท"บริษัท อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ประบุ

 

 

วัตถุประสงค์การใช้เงิน 1. เป็นเงินทุนในการลงทุนในระบบคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และซอฟต์แวร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการให้บริการ 35.00 ล้านบาท ภายในปี 2565 ,2.เงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ 47.70 ล้านบาท ภายในปี 2564

 

 

 

 

 

ผลการดำเนินงานของ IND นั้น รายได้ของบริษัท ประกอบด้วยรายได้จากการให้บริการ และรายได้อื่น ซึ่งบริษัทแยกโครงสร้างรายได้จากการให้บริการตามส่วนประเภทของการให้บริการ ดังนี้

1) รายได้จากงานออกแบบเบื้องต้นและออกแบบรายละเอียด

2) รายได้จากงานบริหารงานโครงการและควบคุมงานก่อสร้าง

3) รายได้จากงานออกแบบพร้อมก่อสร้าง

4) รายได้จากงานให้บริการอื่น ภาพรวมในการดำเนินงานของบริษัทในรอบ 3 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2560 ปี 2561 ปี 2562 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 1,171.34 ล้านบาท 1,658.51 ล้านบาท 773.64 ล้านบาทและ 400.75 ล้านบาทตามลำดับ

 

 

แบ่งเป็นรายได้จากการให้บริการเท่ากับ 1,167.51 ล้านบาท 1,657.04 ล้านบาท 771.00 ล้านบาทและ 397.95 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 99.67 ร้อยละ 99.91 ร้อยละ 99.66 และร้อยละ 99.30 ของรายได้รวมตามลำดับ และมีรายได้อื่นซึ่งประกอบด้วย ดอกเบี้ยรับ กำไรจากการขายสินทรัพย์ รายได้ค่าจัดทำเอกสาร รายได้จากการซื้อมาขายไปสินค้านอกเหนือจากในสัญญา รายได้ค่าธรรมเนียมธนาคาร รายได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้ในการดำเนินงานของบริษัท เป็นต้น โดยในปี 2560 – ปี 2652 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมีรายได้อื่น เท่ากับ 3.83 ล้านบาท 1.47 ล้านบาท 2.64 ล้านบาทและ 2.80 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 0.33 ร้อยละ 0.09 ร้อยละ 0.34 และร้อยละ 0.70 ของรายได้รวมในแต่ละปีตามลำดับ

 

 

รายได้ส่วนใหญ่ในช่วงปี 2560 – ปี 2562 เกิดจากการที่บริษัทได้รับงานโครงการออกแบบพร้อมก่อสร้างคลังน้ำมันพิจิตร และคลังน้ำมันลำปางในปี 2559 จากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ารวมประมาณ 2,800.00 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาโครงการตั้งแต่ปี 2559 ถึงปี 2562 ส่งผลให้รายได้จากการให้บริการของบริษัท ในปี 2560 และปี 2561 เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก และรายได้ในปี 2562 ลดลงจากความคืบหน้าของการปฏิบัติงานใน 2 โครงการใหญ่ดังกล่าวที่รับรู้ไปส่วนใหญ่ในปี 2560 – ปี 2561 แล้ว

 

 

 

 

 

และสำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 รายได้และกำไรสุทธิลดลงจากงวดเดียวกันในปีก่อนหน้าเนื่องจากรายได้จากโครงการใหญ่ดังกล่าวลดลงจากการส่งมอบงานในปี 2562 ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น ทำให้กำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 ของบริษัทลดลง โดยรายได้จาก 2 โครงการดังกล่าว ในปี 2560 – ปี 2562 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 86.27 ร้อยละ 70.74 ร้อยละ 56.73 และร้อยละ 11.93 ของรายได้จากการให้บริการรวม ตามลำดับ

 

 

บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิของงบการเงินของบริษัท ภายหลังจากหักภาษี และเงินทุนสำรองตามกฎหมาย และเงินสำรองอื่น (ถ้ามี)