สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(25 พฤศจิกายน 2563)----BA กัดฟันปี64 พยายามทำให้ขาดทุนน้อยที่สุด-ไร้การลงทุนใหม่ พร้อมเดินหน้าลดจำนวนเครื่องบินต่อเนื่อง คาดปี65 เหลือเครื่องบินไอพ่น 15 ลำ แย้มมีแผนขยายเส้นทางบินไปจีน หลังมองมีโอกาสเติบโตดี
นายอนวัช ลีละวัฒน์วัฒนา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส สายงานการเงินและบัญชี บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA เปิดเผยว่า บริษัทฯยอมรับว่าปี 2564 จะยังมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ หากภาครัฐยังไม่เปิดให้เดินทางระหว่างประเทศได้ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทฯจะพยายามทำให้มีผลขาดทุนน้อยที่สุด และพยายามรักษาสภาพคล่องให้มากที่สุดรวมถึงยกเลิกหรือชะลอการลงทุนโครงการต่างๆออกไปก่อน
นอกจากนี้บริษัทฯยังได้เจรจากับสถาบันการเงินเพื่อขอยืดระยะเวลาในการชำระหนี้ออกไป โดยได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันยังมีเดินหน้าลดจำนวนเครื่องบินต่อเนื่องโดยคาดว่าในปี 2565 จะเหลือเครื่องบินไอพ่นประมาณ 15 ลำ พร้อมกันนี้ยังเดินหน้าลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบินด้วยเช่นกัน
ด้านภาพรวมผลประกอบการปี 2563 คาดว่าจำนวนเที่ยวบินจะปรับตัวลดลง 65% และ Load Factor ลดลง 69% ผู้โดยสารลดลง 68% หลังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้เที่ยวบินชะลอตัว โดยปัจจุบันบริษัทฯมีการใช้เครื่องบินเพียง 10 กล่าลำ จากทั้งหมด 39 ลำ เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และในไตรมาส 4/2563 บริษัทฯมีแผนขายเครื่องบิน ATR72-500 ออก จำนวน 2 ลำ ส่งผลให้สิ้นปีนี้ จะเหลือเครื่องบิน จำนวน 37 ลำ
อย่างไรก็ตามบริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์หันมาเน้นเที่ยวบินในประเทศมากขึ้น โดยไตรมาส 4/2563 มีแผนขยายเส้นทางบินใหม่ 5 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพฯ-ตราด , กรุงเทพฯ-กระบี่ , สมุย-ภูเก็ต , อู่ตะเภา -ภูเก็ต , สมุย - อู่ตะเภา พร้อมกันนี้ยังมีแผนขยายเส้นทางไปยังประเทศจีนหลังมองว่ามีแนวโน้มเติบโตดีและมีศักยภาพที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของเรา และนอกเหนือจากขนส่งผู้โดยสารแล้วยังมีการขายแบบเช่าเหมาลำด้วยเพื่อรองรับนักลงท่องเที่ยวจีนหากมีการเปิดประเทศ โดยเส้นทางที่มองไว้ได้แก่ สมุย-เฉินตู และ สมุย-ฉงชิ่ง
สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในสนามบินอู่ตะเภาปัจจุบันเริ่มสำรวจพื้นที่สำหรับการก่อสร้างแล้วตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2563 ซึ่งปัจจุบันได้มีการจัดทำประมาณการผู้โดยสารใกล้เสร็จแล้ว และอยู่ระหว่างพิจารณาแผนผังเลย์เอาท์อาคารผู้โดยสารหลังใหม่ รวมถึงศูนย์ขนส่งภาคพื้นดิน โดยคาดว่าจะมีการแข่งขันออกแบบเสร็จสิ้นประมาณสิ้นปี 2563 และสามารถคัดเลือกผู้ชนะได้ภายในไตรมาส 1/2564