สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(6พฤซศจิกายน 2563)----------สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ผลการนับคะแนนล่าสุด ไบเดน มีคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้ง หรือ Electoral Vote นำ ทรัมป์ อยู่ที่ 264 : 214 จากการพลิกกลับมาชนะในรัฐสมรภูมิอย่าง Wisconsin และ Michigan โดยขณะนี้ขาดอีกเพียง 6 เสียงเท่านั้นก็จะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป สำหรับผลคะแนนการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาของสหรัฐฯ ล่าสุดพรรคเดโมแครต : พรรครีพับลิกัน อยู่ที่ 208 : 192 และ 46 : 48 ตามลำดับ
อิงตามคะแนนเสียงข้างต้น ไบเดนจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ขณะที่พรรคเดโมแครตยังครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ และพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐฯ ตามเดิม ซึ่งในกรณีนี้จะเป็นกรณีที่ 2 (รายละเอียดเพิ่มเติมดูย้อนหลังที่บทวิเคราห์ TISCO Smart Tactics ฉบับเดือน พ.ย. 2020 หรือ TISCO Trading Guide ฉบับวันที่ 19-30 ต.ค. และ ฉบับวันที่ 2-20 พ.ย. 2020) ที่เราประเมินความเป็นไปได้ไว้ 30% และคาดการณ์ผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมจะ เป็นกลาง
ถึงแม้ไบเดนจะมีนโยบายการขึ้นภาษีและสนับสนุนนโยบายป้องกันการผูกขาด ซึ่งไม่เป็นมิตรต่อภาคธุรกิจโดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ แต่การผลักดันนโยบายดังกล่าวให้มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายอาจไม่ใช่เรื่องง่าย คาดจะถูกขัดขวางจากวุฒิสภา ซึ่งพรรครีพับลิกันยังคงครองเสียงข้างมากอยู่ ขณะที่การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ซึ่งรวมถึงการขยายเพดานหนี้ในอนาคตคาดว่าจะต้องมีการเจรจาต่อรองเช่นเดียวกับสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ ที่เคยเกิดความล่าช้าหรือมีปัญหามาหลายครั้ง
แต่สำหรับผลกระทบต่อหุ้นนอกสหรัฐฯ โดยเฉพาะตลาดหุ้น EM คาดจะ เป็นบวก จากนโยบายต่างประเทศของไบเดนที่ประนีประนอมมากกว่าทรัมป์ คาดเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลก และน่าจะช่วยลดความผันผวนของตลาดลงได้ หนุนกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายของตลาดหุ้น EM ในภูมิภาคนี้มีโอกาสพลิกเป็นบวกในระยะถัดไป หลังจากที่ไหลออกเป็นจำนวนมากในปีนี้ (ยกเว้นจีนและอินเดีย) และระดับการประเมินมูลค่าถือว่าน่าสนใจเมื่อเทียบกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลประกอบการในปีหน้า ผสานกับตลาดหุ้น EM ในภูมิภาคนี้ส่วนใหญ่ยัง Underperform อยู่มากในปีนี้ด้วย
อีกประเด็นหนึ่งที่เรามองอาจเป็นตัวกระตุ้นให้ตลาดหุ้น EM ในภูมิภาคนี้น่าสนใจขึ้น คือ สถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 สหรัฐฯ และยุโรปที่ยังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะยุโรปนำไปสู่การล็อกดาวน์รอบใหม่ เป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันสถานการณ์ในเอเชียยังควบคุมได้ดี ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีความชัดเจนกว่า นอกจากนี้ แนวทางการรับมือสถานการณ์แพร่ระบาดฯ ของสหรัฐฯ อาจเปลี่ยนแปลงหลังมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำของสหรัฐฯ เพราะไบเดนจะมีความระมัดระวังต่อสถานการณ์แพร่ระบาดฯ มากกว่าทรัมป์ หากสถานการณ์แพร่ระบาดฯ ในสหรัฐฯ เลวร้ายเพิ่มขึ้น อาจมีการเพิ่มมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดฯ เข้มข้นขึ้น ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงในแง่ลบ (Downside Risk) ต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและกำไรบจ.ของสหรัฐฯ
สำหรับประเด็นทรัมป์เตรียมเรียกร้องให้มีการนับคะแนนใหม่ และ/หรือ ยื่นฟ้องต่อศาลสูงสุดให้ระงับการนับคะแนน เพราะไม่มีความโปร่งใส เรามองเป็นปัจจับรบกวนชั่วคราวและไม่คาดว่าจะทำให้ผลเลือกตั้งเปลี่ยนแปลง ขณะที่ตลาดน่าจะเบนความสนใจไปที่ปัจจัยอื่น เช่น สถานการณ์แพร่ระบาดฯ, ตัวเลขเศรษฐกิจ และการประกาศผลประกอบการ
ด้วยกระแสเงินทุนต่างประเทศมีโอกาสพลิกเป็นไหลเข้า คาดหุ้นขนาดใหญ่จะกลับมาเป็นเป้าหมายลงทุนในระยะต่อไป หุ้นที่แนวโน้มกำไรปีหน้าฟื้นตัวเด่น และเราแนะนำหาจังหวะสะสม เพื่อการลงทุน ข้ามปี คือ AEONTS, BAM, BDMS, BEM, CPALL, MTC, PTTGC, TWPC, WHA และยังแนะนำทยอยเก็บหุ้นปันผล เนื่องจากอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะเข้าสู่ฤดูกาลจ่ายปันผลประจำปีแล้ว หุ้นที่คาดมี Div. Yield มากกว่า 4% ต่อปี แนะนำ DCC, EASTW, INTUCH, LH, QH, NYT, PROSPECT, RATCH, SCCC, TVO
อย่างไรก็ดี สำหรับการเทรดดิ้งระยะสั้น แนะนำใช้กรอบ 1240-80 ลงซื้อ-ขึ้นขาย เรามอง Upside ระยะสั้นจำกัดที่บริเวณ 1280 แนะนำหุ้น SET50 Index ที่ยังปรับขึ้นช้า CPN, TMB, WHA, หุ้นโรงไฟฟ้า BGRIM, GULF, RATCH และหุ้นที่คาดงบ 3Q20F จะดีทั้ง YoY และ QoQ AP, BCH, CPF, MTC, RBF, RS, SAPPE, SYNEX