
HotNews: MGT ปี61ตั้งป้อมลุยตลาดเมียนมา-กัมพูชา
L&E วางเป้ารายได้ปี61โต 15-20%
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 23 พฤศจิกายน 2560)--------MGT ตั้งเป้ารายได้ปี61 แตะ 659 ลบ. พร้อมอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ 7-8% มั่นใจรายได้ปีนี้โต 20% ตามเป้า หลังตุนBacklog 50-60 ลบ.รับรู้ฯช่วงที่เหลือของปีนี้ ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ตปท.ปี61 แตะ5% หลังรุกตลาดเมียนมา-กัมพูชา เผยอยู่ระหว่างศึกษาร่วมทุนกับพันธมิตรในประเทศ คาดชัดเจนปี 61
L&E ตั้งเป้ารายได้ปี61 โต 15-20% หลังตุนBacklog 1.2 พันลบ. รับรู้ณ 80-90% - เจาะตลาดพรีเมี่ยมตั้งเป้าสัดส่วนรายตปท.ปีหน้าแตะ 7-8% จากปีนี้ 5% คาดอัตราขั้นต้นปีนี้แตะ 32% หลังเน้นขายผลิตภัณฑ์มาร์จิ้นสูง
ดร.วิทยา อินาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมกาเคม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGT เปิดเผยว่าบริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 61 ไว้ที่ 659 ล้านบาท โดยจะเป็นเติบโตในธุรกิจทุกประเภทของบริษัทในระดับปกติ อีกทั้งบริษัทจะหาลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่มเติมเพื่อสร้างยอดขายให้มากขึ้น และประกอบกับบริษัทจะเข้าประมูลงานทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้ลูกค้ารายใหญ่เข้ามา 1 รายแล้ว
พร้อมกันนี้บริษัทจะรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ที่ระดับ 7-8 % เช่นเดียวกันกับอัตรากำไรขั้นต้นที่บริษัทจะรักษาให้อยู่ที่ระดับ 25% สำหรับอัตรากำไรสุทธิในปีนี้คาดว่าจะสูงกว่าปี 59 ที่ทำได้ 5.7% เนื่องจากในปีนี้บริษัทไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าจดทะเบียน
ทั้งนี้สำหรับรายได้ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะเป็นไปตามที่วางไว้หรือจะเติบโต 20% จากปี 59 ที่มีรายได้ 561 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีงานในมืออยู่ที่ 50-60 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถรับรู้ได้ในปีนี้ทั้งหมด อีกทั้งบริษัทคาดว่ายอดขายยังสามารถเติบโตได้เนื่องจากบริษัทได้มีลูกค้าใหม่ที่มีการสั่งออเดอร์มาอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้ในงวด 9 เดือนแรกบริษัททำได้แล้ว 449 ล้านบาท
ดร.วิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่าหลังจากได้ตั้งบริษัทร่วมทุนกับพันธมิตรในเมียนมา โดยบริษัทถือหุ้น 51% และพันธมิตรท้องถิ่น 49% บริษัทได้ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ 5% จากปัจจุบันที่ยังไม่มีเลยโดยบริษัทได้ประเมินว่าช่วงปลายไตรมาส1/61 บริษัทคาดว่าจะเริ่มดำเนินการธุรกิจในเมียนมาได้อย่างเต็มศักยภาพ อีกทั้งบริษัทจะมีการเจรจรากับพันธมิตรในประเทศกัมพูชา ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี 61 ด้วยเช่นกัน และจะสามารถเข้าเสริมให้บริษัทมีรายได้จากต่างประเทศมากขึ้น
สำหรับการลงทุนในปี61 บริษัทได้วางงบลงทุนในการขยายสาขาไว้ราว 16 ล้านบาท เป็นสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะเดียวกันบริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเคมีภัณฑ์ ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนกับพันธะมิตรในประเทศ และคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 61 โดยใช้งบลงทุนราว 100 ล้านบาท ซึ่งจะใช้แหล่งเงินทุนจากกระเงินสดที่บริษัทมีอยู่ประมาณ 100 ล้านบาท
นายปกรณ์ บริมาสพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E เปิดเผยว่าแผนธุรกิจในปี61 บริษัทตั้งเป้ารายได้โตปี61 โต 15-20% และคาดจะเป็นปีที่ดีของบริษัท โดยมีปัจจัยสำคัญได้แก่ โครงการมูลค่าประมาณ 150 ล้านบาท ที่เลื่อนมาจากปี 2560 จะมีการรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 2/2561 รวมทั้งบริษัทย่อยในเวียดนาม จะแล้วเสร็จประมาณไตรมาส 2/2561 ซึ่งจะมีรายได้เข้ามา ประกอบกับสำนักงานตัวแทนในมาเลเซีย และอินโดนีเซีย เริ่มลงตัวสามารถดำเนินงานได้เต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ LED แทนผลิตภัณฑ์เดิมเพื่อประหยัดพลังงานจะขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะโคม signature series ซึ่งบริษัทฯ ได้พัฒนาขึ้นสำหรับเจาะตลาดบน จะสามารถออกสู่ตลาดได้ในปี 2561 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายและให้บริการในปี 2561 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 15-20%
"ปีหน้า L&E จะรุกตลาดต่างประเทศเต็มที่ โดยเฉพาะในตลาดเวียดนามเราได้เข้าไปตั้งบริษัทย่อยเพื่อเปิดสำนักงานโชว์รูมสินค้า คลังสินค้า และโรงงานผลิต เนื่องจากเวียดนามมีโอกาสการเติบโตสูง จากการเข้าลงทุนของกลุ่มเซ็นทรัล กลุ่มซีพี และกลุ่มปูนซิเมนต์ไทย โดยมองว่าประเทศเวียดนาม กำลังขยายตัวและมีความต้องการใช้สินค้าของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย มีความคุ้มค่าที่จะลงทุน และมั่นใจที่จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจแสงสว่างรายใหญ่ของ AEC ขณะที่สำนักงานตัวแทนในมาเลเซีย และอินโดนีเซีย เริ่มลงตัวสามารถดำเนินงานและบุกตลาดได้เต็มที่ ทั้ง 3 ประเทศสัดส่วนรายได้จะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยการขยายตลาดต่างประเทศบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจะมีสัดส่วนรายได้ในปี 2561 ราว 7-8% จากปี 60 อยู่ที่ 5% โดยจะเน้นกลุ่มประเทศ CLMV เป็นหลัก” นายปกรณ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ปี 2561 บริษัทฯ พร้อมเข้าประมูลงานโครงการใหม่จากภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง จากงานก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นและการขยายตัวของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น รวมทั้งการเข้าร่วมงานอีเว้นท์และออกบูธที่เกี่ยวกับพลังงานอย่างต่อเนื่อง
นายปกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับรายได้จากการขายและให้บริการในปี 2560 จะอ่อนตัวเล็กน้อย ประมาณ 5% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากมีการเลื่อนรับรู้รายได้และเลื่อนส่งมอบงานไปเป็นปี 2561 ประมาณ 150 ล้านบาท และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีทำให้ราคาสินค้าทดแทนต่ำกว่าราคาสินค้าเดิม 20-30% อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงแม้ยอดขายลดลง เพราะผลจากอัตรากำไรเบื้องต้นที่ปรับตัวดีขึ้นจาก 28.3% ในปี 2559 มาเป็นประมาณ 32% ในปี 2560 ทั้งนี้เป็นผลจากการลดต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพและอัตรากำไรของสินค้าทดแทนสูงกว่าของสินค้าเดิม ประกอบกับการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายลดลงเพราะการกู้ยืมเงินจากธนาคารลดลง
“ปกติที่ผ่านมาผลประกอบการไตรมาส 4 จะดีกว่าทุก ๆ ไตรมาส ซึ่งปีนี้คาดว่าจะเป็นไปในลักษณะเดียวกันใน Q4 ปีนี้ แม้ว่าบริษัทฯ จะได้รับผลกระทบจาการเลื่อนการรับรู้รายได้งานโครงการออกไปเป็นช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 2/2561 ส่วนราคาสินค้า LED ปรับตัวลดลง 20-30% ในปีนี้เป็นเพราะต้นทุนต่อหน่วยลดลงเพราะมีการผลิตและใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น แต่ปีหน้าคาดว่าราคาขาย LED จะทรงตัว จึงประมาณการว่าปีหน้ารายได้จากการขายและบริการจะเพิ่มขึ้น 15-20% จากปีนี้รายได้จากการขายและบริการอ่อนตัวลงเล็กน้อย แต่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น” นายปกรณ์ กล่าว
----จบ---