สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ ( 21 สิงหาคม 2563 ) ----- ITEL ส่งสัญญาณครึ่งปีหลังโตสวย ล่าสุดคว้างานจ้างเหมาออกแบบ และติดตั้งเคเบิลใยแก้วนำแสง ระยะทาง 3,600 กิโลเมตร ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มูลค่า 249,705,900 บาท (สองร้อยสี่สิบเก้าล้านเจ็ดแสนห้าพันเก้าร้อยบาทถ้วน) เดินหน้าผลักดันธุรกิจให้เติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ มั่นใจจะมีงานทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พร้อมผลักดันรายได้ปีนี้เติบโต

นายณัฐนัย อนันตรัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับงานจ้างเหมาออกแบบ และติดตั้งเคเบิลใยแก้วนำแสง ระยะทาง 3,600 กิโลเมตร ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตามเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-biding) เลขที่ PEA-CDD-11/2020 มูลค่า 249,705,900 บาท (สองร้อยสี่สิบเก้าล้านเจ็ดแสนห้าพันเก้าร้อยบาทถ้วน ) (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระยะเวลาดำเนินการ 365 วัน นับจากวันลงนามในสัญญา

“โดยการที่บริษัทฯ ได้รับงานจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคติดต่อกันในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจในศักยภาพของบริษัทฯ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จของบริษัทฯในการบริหารจัดการโครงข่ายได้อย่างประสิทธิภาพและเสถียรภาพสูงสุด สนับสนุนให้มีโอกาสได้รับงานใหม่เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งงานโครงการดังกล่าว ยังช่วยเพิ่มมูลค่างานในมือรอรับรู้รายได้ (backlog) ในปัจจุบันทะลุ 4,709.45 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานในอนาคตเติบโตแข็งแกร่ง ” นายณัฐนัย กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวอีกว่า ทิศทางธุรกิจปี 2563 บริษัทฯยังคงมุ่งเน้นผลักดันให้ผลการดำเนินงานในทุกธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2562 เนื่องจากจากงานที่ได้รับมาในครึ่งปีแรก จะดำเนินการแล้วเสร็จและสามารถรับรู้รายได้เข้ามาช่วงครึ่งปีหลัง มั่นใจฝ่ากระแสเศรษฐกิจชะลอตัวจากผลกระทบโรคไวรัสโควิด-19 ได้อย่างโดดเด่น เพราะโครงสร้างรายได้ของบริษัทฯ เน้นที่งานให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมีความจำเป็นในการใช้งาน สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง และได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน ดังนั้นงานโครงการใหม่ๆ ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ มีจุดแข็งของเสถียรภาพโครงข่ายที่เหนือกว่าคู่แข่งขันทำให้มั่นใจว่าจะได้โอกาสรับงานใหม่เพิ่มเติมอีกอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ITEL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2563 บริษัทฯมีรายได้รวม 462.40 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ จำนวน 57.80 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 47.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.97 % โดยแบ่งเป็นรายได้จากการให้บริการโครงข่าย 273.29 ล้านบาท รายได้จากการให้บริการติดตั้งโครงข่าย 148.36 ล้านบาท รายได้จากการให้บริการดาต้า เซ็นเตอร์ 17.92 ล้านบาท และรายได้อื่น 22.83 ล้านบาท แม้ว่าในช่วงไตรมาส 2/2563 ที่ผ่านมา ยังอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 ส่งผลให้ภาครัฐประกาศล็อกดาวน์ประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่องานโครงการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมของลูกค้าต้องมีการชะลอไปบ้าง แต่ด้วยการปรับกลยุทธ์ด้านบริหารจัดการภายในองค์กร เพื่อรับมือกับวิกฤตดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เช่นการปรับลดค่าใช้จ่ายเพื่อรองรับการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ จึงทำให้ภาพรวมของธุรกิจดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากมีการทยอยรับรู้รายได้การให้บริการโครงข่ายของโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ห่างไกล (USO Phase 1 และ Phase 2 ) และการทยอยรับรู้รายได้บริการเชื่อมต่อข้อมูลและศูนย์รับฝากข้อมูลที่ได้ทำสัญญากับลูกค้าไว้ก่อนหน้านี้ อีกทั้งบริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์ด้วยการกระชับต้นทุนการให้บริการและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพื่อพัฒนาอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิของบริษัท สำหรับรายได้จากการให้บริการโครงข่ายเติบโตเพิ่มขึ้น27.56 % จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากประสิทธิภาพและเสถียรภาพของโครงข่าย อีกทั้งได้มีทำการตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมเพิ่มขึ้น

บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป(ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า แนะนำ ทยอยซื้อ ITEL ราคาพื้นฐาน ที่ 3.40 บาท กำไรสุทธิ 2Q63 โตเด่น y-y และ q-q หลังมีรายการพิเศษ: ITEL รายงานกำไรสุทธิ 2Q63 ที่ 57.8 ลบ. โตเด่น 23.0% y-y และ 44.2% q-q แต่หากไม่รวมกำไรจากการเปลี่ยนเงื่อนไขเงินกู้ยืมระยะยาวมูลค่า 18.7 ลบ. ITEL มีกำไรปกติ42.9 ลบ. ลดลง 8.8% y-y แต่เพิ่มขึ้น 6.9% q-q โดยกำไรที่เพิ่มขึ้น q-q มาจากการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในการร่วมค้าที่ลดลงเหลือเพียง 0.43 ลบ.จาก 1Q63 ที่รับรู้ผลขาดทุน 3.77 ลบ. ส่วนกาไรที่ลดลง y-y หลักๆ มาจากรายได้จากการให้บริการหลักโดยรวมลดลง 25.1% y-y ถึงแม้ว่า GPM จะปรับเพิ่มขึ้นจาก2Q62 ที่ 19.8% เป็น 26.0% ซึ่งเป็นผลจากการควบคุมต้นทุนที่ทำได้ดีก็ตาม

ลดคำแนะนำจากเดิม "ซื้อ" เป็น "ทยอยซื้อ" ปรับไปใช้ราคาพื้นฐานปี 64:จากแนวโน้มผลดำเนินงานที่คาดยังเติบโตต่อ หลังบริษัทเตรียมประมูลงานใหม่ๆบวกกับปัจจุบันด้วย Backlog ที่มีสูงกว่า 4,000 ลบ. เบื้องต้นทางฝายจึงคงประมาณการกำไรปี 63 ที่ 160 ลบ. และประเมินกำไรปี 64 ที่ 185 ลบ. พร้อมทั้งปรับไปใช้ราคาพื้นฐานปี 64 ที่ 3.40 บาท แต่เนื่องด้วยราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาแล้วในช่วงก่อนหน้าทางฝ่ายจึงลดคำแนะนำเป็น "ทยอยซื้อ"

หมายเหตุ: กำไร = ล้านบาท, EPS = บาท

---จบ---