Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews: GUNKUL ปี61 คาดรายได้โต 20% -JWD ปักหมุดเป้ารายได้ปี61 โตกว่า 10% -KTIS มั่นใจปีนี้รายได้ทะยานกว่า 2 หมื่นลบ.

1,078

 


HotNews:  GUNKUL ปี61 คาดรายได้โต 20% 

-JWD ปักหมุดเป้ารายได้ปี61 โตกว่า 10%

-KTIS  มั่นใจปีนี้รายได้ทะยานกว่า 2 หมื่นลบ. 


  สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(   16 พฤศจิกายน   2560)--------GUNKUL คาดรายได้ปี 61 โต 20%   ตั้งเป้า COD  เพิ่มเป็นเกือบ 300 Mw   พร้อมวางงบลงทุนราว 6 พันลบ.  ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในไทย 2 โครงการรวมกำลังการผลิต 110 เมกะวัตต์ และโครงการโซลาร์ฟาร์มในประเทศญี่ปุ่นรวมกำลังผลิต 78 เมกะวัตต์ ตั้งเป้าCOD เพิ่มขึ้นเป็นราว 300 เมกะวัตต์ จากปัจจุบัน 180 เมกะวัตต์
JWD ตั้งเป้ารายได้ปี61 โตไม่ต่ำกว่า 10% เน้นรุกตลาดตปท. -รับรู้รายได้ OAI เต็มปีวางงบลงทุนปีหน้า 1-2พันลบ. ขยายธุรกิจ-ซื้อกิจการในตปท. เผยอยู่ระหว่างเจรจา 4-5 รายคาดตั้งกองรีทส์ มูลค่า 1.5 พันลบ. ในช่วงที่เหลือของปีนี้ หวังบุ๊คกำไรพิเศษในQ1/61คาดช่วงที่เหลือของปีนี้สรุปดีลลงทุนธุรกิจห้องเย็นในอินโดฯ มูลค่า300-400ลบ.
KTIS  ซดรายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 9 เดือนแรกปีนี้ ทำได้แล้ว 15,305.3 ล้านบาท สูงกว่ารายได้ของปี 59 ทั้งปี และมีกำไรสุทธิ 1,140.2 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 4,307% ปัจจัยหลักจากปริมาณและราคาน้ำตาลปีนี้ที่สูงกว่าปีก่อน มั่นใจปีนี้รายได้ทะยานกว่า 2 หมื่นลบ. 

นายสมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย กรรมการผู้จัดการ  บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน)  GUNKUL เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ารายได้ในปี 61 จะเติบโตราว 20% จากปีนี้ที่คาดจะมีรายได้ราว 4.5 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะรับรู้กำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมเข้ามาจากทั้งโครงการในประเทศไทยและในประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัทตั้งงบลงทุนปีหน้าราว 6 พันล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในไทย 2 โครงการรวมกำลังการผลิต 110 เมกะวัตต์ และโครงการโซลาร์ฟาร์มในประเทศญี่ปุ่นรวมกำลังผลิต 78 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทตั้งเป้าการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มขึ้นเป็นราว 300 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 180 เมกะวัตต์
ขณะเดียวกันในปีหน้าบริษัทมีแผนจะเข้าประมูลงานใหม่เพิ่มอีก 2.6-2.7 พันล้านบาท ได้แก่ โครงการวางเคเบิลใต้น้ำ 2.4 พันล้านบาท และโครงการอื่นๆราว 200-300 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยประกาศผลตั้งแต่ต้นปีหน้า จากปัจจุบันบริษัทมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) จากงานประเภท EPC Renewable Energy Project ทั้งหมด 1.5 พันล้านบาท โดยในช่วงที่เหลือของปี 60 บริษัทจะมีการทยอยรับรู้ฯ เข้ามาราว 500-600 ล้านบาท 
พร้อมกันนี้ บริษัทคาดแนวโน้มผลประกอบการ ไตรมาส 4/60  จะมีผลประกอบการดีกว่าไตรมาส 3/60 และจะเป็นไตรมาสที่มีผลประกอบการดีที่สุดของปี โดยมองว่าช่วงโค้งสุดท้ายของปีจะเป็น High Season ของโครงการพลังงานลม ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น คิดเป็นสัดส่วนโครงสร้างกำไรโดยจากธุรกิจโซลาร์ฟาร์ม 70% และธุรกิจพลังงานลม 30%
    นายสมบูรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทตั้งเป้าปี 63 จะมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในมือเพิ่มเป็น 1,000 เมกะวัตต์ จากสิ้นปี 60 คาดว่า PPA จะไม่น้อยกว่า 530 เมกะวัตต์ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมี PPA อยู่ในมือแล้วประมาณ 489 เมกะวัตต์ โดยภายในปี 60 บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่ม ทั้งนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ต่างประเทศ โดยจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 4/60  เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพของรายได้และกำไร
  อนึ่งผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีผลกำไรสุทธิจำนวน 453.47 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันกับปีก่อนที่มีผลกำไรสุทธิจำนวน 393.13 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจำนวน 60.34 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.35 ส่วนไตรมาส3/2560 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 140.14 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 125.43 ล้านบาท  ทั้งนี้ผลการดำเนินงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นดังกล่าว เนื่องจากกลุ่มบริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 3,582.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,387.37 ล้านบาท หรือร้อยละ 63.21 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันกับปีก่อนเท่ากับ 2,194.73 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากการรับเหมาก่อสร้าง 1,491.71 ล้านบาท และรายได้จากการขายจำนวน 1,974.40 ล้านบาท


นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด(มหาชน) หรือ JWD เปิดเผยว่าในปี 61 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตมากกว่า 10% จากปี60 ที่คาดว่าจะทำได้รายได้ 2,400-2,500 ล้านบาทหรือเติบโตจากปี 59 ไม่ต่ำกว่า 7%  โดยในปีหน้าบริษัทมีแผนที่จะขยายกิจการธุรกิจโลจิสติกส์ทั้งต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทจะเข้าไปศึกษาธุรกิจในเวียดนามเพิ่มเติมในช่วงต้นปี 61  และช่วงครึ่งปีหลังจะเข้าไปศึกษาในฟิลิปปินส์และมาเลเซีย ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนที่จะขยายพื้นที่ให้บริการที่มีอยู่ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
นอกจากนี้บริษัทจะรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อกิจการโอเชี่ยน แอร์ อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด (OAI)เข้ามาเต็มปี และคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในปี 61 จะไม่ต่ำกว่า 10% จากปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 8-9%  โดยปี 61 ซึ่งปัจจัยสนับสนุนดังกล่าวบริษัทคาดหวังว่าจะสามารถทำให้อัตรากำไรสุทธิจะกลับมาเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักได้อีกครั้ง จากปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 8.9% 
พร้อมกันนี้บริษัทได้วางงบลงทุน 1,000-2,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนขยายธุรกิจปกติที่มีอยู่และใช้ซื้อกิจการในประเทศและต่างประเทศ โดยในปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการเข้าซื้อกิจการธุรกิจโลจิสติกส์ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีความสนใจในภูมิภาคอาเซียนเนื่องจากบริษัทประเมินว่ายังมีการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งได้เข้าไปเจรจราแล้ว 4-5 ราย
สำหรับแหล่งเงินทุนมาจากกระแสเงินสดของบริษัท  ที่ยังมีศักยภาพที่เพียงพอเพื่อรองรับการลงทุนได้  โดยไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน   อีกทั้งบริษัทยังมีหุ้นกู้ที่ขออนุมัติแก่ผู้ถือหุ้นไว้แล้ว โดยบริษัทมีวงเงินที่จะออกหุ้นกู้อีก 2.5 พันล้านบาท และความสามารถในการกู้จากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำหรือD/Eอยู่ที่ 1 เท่า
สำหรับการจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) มูลค่า 1,500 ล้านบาท  คาดว่าจะจัดตั้งได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้และคาดว่าจะสามารถบันทึกเข้าเป็นกำไรพิเศษได้ในช่วงไตรมาส 1/61 ส่วนทรัพย์สินที่บริษัทจะนำเข้ากองประกอบไปด้วย ห้องเย็น และ คลังจัดเก็บเอกสาร โดยมีพื่นที่ 3.7 หมื่นตารางเมตร ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทได้ยื่นไฟลิ่งแก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)แล้ว 
นายชวนินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า คาดภายในเช่วงที่เหลือของปีนี้ จะได้ข้อสรุปในการเข้าซื้อธุรกิจห้องเย็นในประเทศอินโดนีเซีย โดยในเบื้องต้นบริษัทจะเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นหลักและถือร่วมกันกับพันธมิตรในท้องถิ่น ซึ่งมีมูลค่าในการลงทุนราว 300-400 ล้านบาท
สำหรับงบลงทุนในการเข้าซื้อกิจการในปีนี้บริษัทบริษัทได้วางไว้ราว 500 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้ใช้ไปแล้วประมาณ 200 ล้านบาท
ขณะเดียวกันในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทมีแผนที่จะเดินทางไปนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์) ในประเทศสิงคโปร์ร่วมกันกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ (ตลท.)  โดยการโรดโชว์ในครั้งนี้บริษัทคาดหวังว่าจะเสนอข้อมูลให้แก่นักลงรายย่อยและสถาบันในต่างประเทศให้มีความเข้าใจในการดำเนินธุรกิจของบริษัทมากขึ้น เนื่องจากกองทุนต่างชาติค่อนข้างมีความสนใจหุ้นของบริษัทและการประกอบธุรกิจพอสมควรโดย ในปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการถือของนักลงทุนต่างชาติอยู่ที่ 10% 

  นายณัฎฐปัญญ์  ศิริวิริยะกุล  รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 (มกราคม – กันยายน 2560) กลุ่ม KTIS มีรายได้รวม 15,305.3 ล้านบาท สูงกว่าปี 2559 ทั้งปีที่มีรายได้รวม 15,086.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิงวด 9 เดือน 1,140.2 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปี 2559 ถึง 4,307% 
  “จากตัวเลข 9 เดือน จะเห็นว่ารายได้ยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่เคยคาดการณ์ไว้ ที่คาดว่าจะทำรายได้ในปี 2560 นี้ ได้เกิน 20,000 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิในระดับ 1,140 ล้านบาท ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ” นายณัฎฐปัญญ์ กล่าว
  รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม KTIS กล่าวด้วยว่า หากดูเฉพาะตัวเลขของไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ พบว่า รายได้ของสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อย เติบโตสูงสุดถึง 30% เนื่องจากปริมาณการขายเยื่อกระดาษเพิ่มขึ้นแม้ว่าราคาเฉลี่ยจะลดลง รองลงมาเป็นการผลิตและจำหน่ายเอทานอล ซึ่งมีรายได้เพิ่มขึ้น 8.7% จากราคาขายที่สูงขึ้น และธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ก็มีรายได้เพิ่มขึ้น  4% อย่างไรก็ตาม การจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลมีรายได้ลดลง เนื่องจากการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ประจำปี
  สำหรับผลผลิตอ้อยของฤดูกาลผลิตปี 2560/2561 นี้ หากมองในภาพรวมของอุตสาหกรรมน้ำตาลทั้งประเทศ พบว่า แม้พื้นที่ปลูกอ้อยในประเทศบางส่วนจะได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยอยู่บ้าง แต่คาดการณ์ว่าปริมาณผลผลิตอ้อยจะสูงถึงกว่า 100 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าปีก่อนที่มีปริมาณผลผลิตอ้อย 93 ล้านตัน และในส่วนของปริมาณอ้อยของกลุ่ม KTIS จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน 
 
 


-----จบ--- 
 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้