HotNews : TPAC ล็อกเป้าเพิ่ม Core EBITDA พุ่งเท่าตัวภายในปี 67 / ย้ายเทรด SET

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(17 มิถุนายน 2563) TPAC ตั้งเป้าเพิ่ม Core EBITDA โตหนึ่งเท่าตัวภายในปี 67 จาก 3 ปีที่ผ่านมา (60-62) โตเฉลี่ย 51% พร้อมวางเป้าย้ายสู่กระดาน SET ขณะที่วันนี้ กำไร Q1/63 ทำนิวไฮที่ 91 ลบ. หลังบริษัทในเครือ ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศโตอย่างแข็งแกร่ง

 

 

บริษัท พลาสติค และหีบห่อไทย จำกัด (มหาชน) TPAC เปิดเผยว่า บริษัทฯ เริ่มก่อตั้งกิจการ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 โดยมีโรงงาน และสำนักงานใหญ่ ตั้งอยู่ที่จังหวัดกรุงเทพฯ ประเทศไทย ตลอดระยะเวลามากกว่า 30 ปี บริษัทได้ให้บริการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก โดยกลายมาเป็นพันธมิตร ให้แก่ผู้ประกอบการ และแบรนด์ชั้นนำต่างๆ ทั่วโลก

 

 

เรามุ่งเน้นบรรจุภัณฑ์คงรูปที่ใช้ในการบรรจุสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ โดยบริษัทมีผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ทั้งการออกแบบผลิตภัณฑ์ การประเมิน และการออกแบบการผลิตเพื่อให้เหมาะสมกับเทคโนโลยีของเครื่องจักรต่างๆ เพื่อให้มีประสิทธิภาพทั้งในด้านการผลิต พลังงาน และสิ่งแวดล้อมโดยกระบวนการผลิตของทางบริษัทนั้นมุ่งเน้นในเรื่องความสะอาด และถูกสุขลักษณะอย่างเคร่งครัด

 

 

เพื่อให้ทัดเทียมกับบริษัทชั้นนำทั่วโลก เหนือสิ่งอื่นใดวัตถุดิบที่ทางบริษัทใช้นั้น ล้วนแต่เป็นวัตถุดิบที่ใช้แล้วสามารถนำกลับไปใช้ผลิตใหม่ได้ (Recyclable) หรือเป็นวัตถุดิบที่ทำมาจากการนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycled material) โดยบริษัท และบริษัทในเครือมีเครื่องจักรทุกรูปแบบ ทั้งแบบฉีด เป่า และ ทั้งฉีดและเป่าในเครื่องเดียวกัน

 

 

ปัจจุบันบริษัท และบริษัทในเครือ มีโรงงานรวมกันทั้งหมด 11 โรงงาน ใน 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย อินเดีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หลังจากที่บริษัทได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) ในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2548แล้ว บริษัทก็ได้มีการเจริญเติบโตแบบยั่งยืน มาตลอด 10 ปี

 

- ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี พ.ศ. 2558 มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหม่ รวมถึงคณะบริหารชุดใหม่ บริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลงวิสัยทัศน์ใหม่ โดยตั้งเป้าหมายที่จะเป็น บริษัทข้ามชาติให้บริการลูกค้าทั่วโลก รวมถึงเปิดรับการพัฒนา และปรับตัวให้เข้ากับนวัตกรรมใหม่ๆอยู่เสมอ

 

- ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ. 2561 บริษัทได้มีการเข้าซื้อกิจการเป็นครั้งแรก โดยการซื้อ บริษัท คัสตอม แพค จ ากัด ในประเทศไทย ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีโรงงาน ตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ

- ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี พ.ศ. 2561 บริษัทได้เข้าซื้อกิจการเป็นครั้งที่ 2 โดยการซื้อ Sunrise Containers Limited ในประเทศอินเดีย ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีทั้งหมด 6 โรงงาน โดยโรงงานตั้งอยู่ทางภาคตะวันตก และทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย

 

- ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี พ.ศ. 2562 บริษัทได้เข้าซื้อกิจการเป็นครั้งที่ 3 โดยการซื้อ Sun Packaging System ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีโรงงานตั้งอยู่ที่เมืองซาร์จาห์

 

- ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี พ.ศ. 2562 บริษัทได้ทำการเพิ่มทุนจ านวน 797 ล้านบาท เพื่อเตรียมความพร้อมทางการเงินสำหรับโอกาสในอนาคต

 

 

ปัจจุบันบริษัท และบริษัทในเครือ มีโรงงานรวมกันทั้งหมด 11 โรงงาน ตั้งอยู่ใน 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย อินเดีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อดีตที่ผ่านมาในช่วงปี พ.ศ. 2560 ถึง 2561 ทางบริษัทได้รับรางวัล ธรรมาภิบาลดีเด่น หรือ CG ระดับ 4 ดาว (ดีมาก)

 

 

ผลประกอบการของบริษัท พลาสติก และหีบห่อไทย จำกัด (มหาชน) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2560 ถึง 2562) มีอัตราการโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น หรือ CAGR ของ กำ ไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีและค่าเสื่อมราคาจากการดา เนินงานปกติ (Core EBITDA) ถึง 51% และ มีอัตราการโตเฉลี่ยต่อปี แบบทบต้น ของกำไรต่อหุ้นจากการดำเนินงานปกติ (Core EPS) ถึง 17%

 

 

คณะบริหารมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ที่จะมุ่งเน้นไปในธุรกิจที่หลากหลาย defensive และไม่แปรผันตามฤดูกาล และยังคงสร้างรายได้ในระดับที่ดีให้บริษัทนอกจากนี้บริษัทยังบริหารสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนที่ระดับ 0.78 เท่า 5

 

 

อีกทั้งบริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มกำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษี และค่าเสื่อมราคาจากการดำเนินงานปกติ (Core EBITDA) อีกหนึ่งเท่าตัว ภายในปี พ.ศ. 2567 และนำบริษัทเข้าไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ขณะที่ TPAC ระบุว่าบริษัทฯ ประกาศงบการเงินของ ไตรมาสที่ 1ของปี พ.ศ. 2563 ล่าช้า เหตุเนื่องมาจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า (Covid-19) ผลกระทบจากวิกฤตินี้ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์การปิดกั้นพื้นที่ (Lockdown) ในประเทศอินเดีย โดยสำนักงานใหญ่ของ ทีแพค แพคเกจจิ้ง (อินเดีย) อยู่ที่เมืองมุมไบทำให้พนักงานบริษัทไม่สามารถเดินทางไปปฏิบัติงานได้

 

ทางผู้บริหารขอเน้นย้ำว่า การล่าช้าของการประกาศงบการเงินนั้น ไม่ได้เกิดจากปัญหาทางด้านการเงิน สภาพคล่อง หรือความสามารถในการทำกำไรเนื่องจากกลุ่มธุรกิจของ TPAC เป็นประเภท Defensive เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจ และการบริโภคโดยรวมสิ่งนี้รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน อาทิเช่น เวชภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม สินค้าอุปโภคบริโภค และรวมไปถึงเครื่องสุขอนามัย

 

 

ในไตรมาสที่ 1 ปี พ.ศ. 2563 กำไรต่อหุ้นจากการดำเนินงานปกติ (Core EPS) เท่ากับ 0.28 บาท เพิ่มขึ้น 66% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีและค่าเสื่อมราคาจากการดำเนินงานปกติ(Core EBITDA) ในไตรมาสที่ 1 ปี พ.ศ. 2563เท่ากับ 235 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

 

 

ในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2563 นี้ถือเป็นไตรมาสที่มีกำไรสูงที่สุดเป็นประวัติการของบริษัท โดยมีกำไรสุทธิของบริษัท จากการดำเนินงานปกติ (TPAC Core Net profit) เท่ากับ 91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น 92% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า กำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีและค่าเสื่อมราคาจากการดำเนินงานปกติ (Core EBITDA) ในไตรมาสที่ 1 ของปี พ.ศ. 2563 เท่ากับ 235 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาและเพิ่มขึ้น 43% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

 

 

กลุ่มบริษัท และบริษัทในเครือ ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ต่างเติบโตอย่างแข็งแกร่งในด้านของผลกำไร ในไตรมาสนี้ บริษัท และบริษัทในเครือได้มีการเริ่มโครงการใหม่ๆ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ ที่มีความชำนาญ อาทิเช่น กลุ่มเวชภัณฑ์และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ ทั้งกับลูกค้าปัจจุบัน และลูกค้าใหม่

 

 

TPAC