Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews : "ภากร" แนะ นลท.ฉวยจังหวะลงทุนยามหุ้นร่วง

1,485

HotNews: "ภากร"  แนะ นลท.ฉวยจังหวะลงทุนยามหุ้นร่วง 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (8 มกราคม 2563) "ภากร"  ผู้จัดการตลท.  แนะ นลท.ฉวยจังหวะลงทุนยามหุ้นร่วง หลังเผชิญแรงกดดันจากสถานการณ์ภายนอก ลุ้นเห็นฟันด์โฟลว์ไหลกลับปีนี้  ขณะที่ ก.ล.ต. ชี้  SET ปรับตัวลดลงเกิดจากปัจจัยภายนอก ระบุพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังดี

 

ด้าน บล.เอชีย พลัส มองทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 63 ถูกกดดันจากหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ประเมินเป้าหมาย SET Index สิ้นปีนี้ที่ 1,675 จุด พร้อมแนะกลยุทธ์การลงทุน เน้นหุ้นเติบโตโดดเด่นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและได้ผลตอบแทนที่ดี ชูดาวเด่น BGRIM PTT LH AP ROBINS CPF

 

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในปี 2563 คาดว่าจะมีโอกาสเห็นเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ(Fund Flow)ไหลกลับเข้ามาในประเทศ หลังจากที่ปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งสภาพคล่องยังอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้โดยปกติแล้วนักลงทุนต่างชาติจะถือครองหุ้นไทยอยู่ในสัดส่วนประมาณ 30-40% โดยในปี2562ได้ปรับตัวลดเหลือเพียง 28-29% ซึ่งปัจจุบันได้กลับเข้ามาสู่ภาวะปกติแล้วที่ระดับ 30% แล้ว

 

 

"ปัจจุบันดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำสภาพคล่องสูง บริษัทจดทะเบียนในบ้านเรายังทำกำไรได้ดี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้ามา" นายภากร กล่าว

 

ทั้งนี้ จากการที่ภาวะตลาดหุ้นได้ปรับตัวลดลงมองว่าเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะเข้าซื้อ แต่อย่างไรก็ตามอยากให้ศึกษาเรื่องปัจจัยพื้นฐานของแต่ละบริษัทก่อนว่าเหมาะแก่การลงทุนในสภาวะตลาดในขณะนี้หรือไม่

 

"ปัจจัยความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในวันนี้ เกิดจากภายนอกซึ่งเราไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นอยากให้นักลงทุนทุกท่านพยายามอ่านบทวิเคราะห์ เพราะผลกระทบแต่ละเรื่องกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนไม่เท่ากัน ซึ่งตอนนี้ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯส่งผลต่อการลงทุนค่อนข้างเยอะและเราก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะยืดเยื้อไปจนถึงตอนไหน " นายภากร กล่าว

 

ด้าน นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของ SET index เป็นไปในแนวทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งเกิดจากความกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลางระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน โดย ก.ล.ต. ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุการณ์ และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจจัดการลงทุน รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อย่างต่อเนื่อง

 

 

ก.ล.ต. ขอแนะนำให้ผู้ลงทุนติดตามข้อมูลข่าวสารประกอบการตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ พื้นฐานเศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มของอัตราการเติบโตดีขึ้นจากปีที่แล้ว เนื่องจากข้อตกลงการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในปี 2563 ทำให้การส่งออกมีแนวโน้มดีขึ้น อีกทั้งการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดี และการท่องเที่ยวมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง

 

ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนมีแนวโน้มขยายตัวด้วยเช่นกัน ส่วนอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ (0.68%) หนี้สาธารณะยังคงอยู่ในระดับต่ำ (40.9%) และดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุล (6.8% ต่อ GDP) ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำหรับตลาดการเงิน ยังมีเงินลงทุนไหลเข้าจากนักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ (7.61 พันล้านบาท) ตั้งแต่ต้นปี 2563

 


นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส เปิดเผยว่า ในปี 2563 ตลาดหุ้นไทยยังต้องเจอกับแรงกดดันหลายรื่อง โดยในส่วนของภายนอกนั้น มีความเสี่ยงจากประเด็นเรื่องสงครามการค้า จากประเทศคู่ค้าอื่นที่ไม่ใช่สหรัฐฯ กับจีน ซึ่งจะกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยให้ชะลอตัว รวมถึงความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน

 

 

ขณะที่ความเสี่ยงภายในประเทศ มีประเด็นความร้อนแรงทางการเมือง ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของรัฐบาล รวมถึงปัญหาภัยแล้งที่ในปีนี้จะหนักสุดในรอบ 40 ปี กระทบต่อภาคอุตสาหกรรมเกษตร และการบริโภคประชาชนที่อยู่ในภาคเษตกรรม นอกจากนี้ ยังมีรื่องการปรับเปลี่ยนมาตรฐานบัญชีใหม่ที่ถือเป็นความเสี่ยงต่อประมาณกากำไรของตลาดด้วย

 

 


"ปีนี้ตลาดยังผชิญกับปัจจัยกดดันหลายเรื่อง ทั้ภายในและภายนอก จากปัจจัยที่เรากล่าวมาทั้งหมด เชื่อว่าจะกดตันให้ Fund Flow ชะลอการไหลเข้าตลาดหุ้นไทย และในปีนี้เป็นปีแรกที่ขาดเม็ดงินจากกองทุน LTF เข้ามาช่วยหนุนตลาดด้วย" นายเทิดศักดิ์ กล่าว

 


ขณะที่เหตุการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างอิหร่าน-สหรัฐ ทำให้เกิดภาพเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงไปสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอย่างเช่น ทองคำ ซึ่งปรับตัวขึ้นถึง3%ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนล่าสุดอยู่ที่ 1568.80 เหรียญ (ระดับเดียวกับจุดสูงสุดในรอบ 7 ปี)

 


สำหรับปี 63 ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ราว 1.0 ล้านล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) 95.71 บาท เติบโต 3.9% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีกว่าตลาด ส่วนใหญ่เกิดจากฐานกำไรสุทธิปี 62ที่ต่ำกว่าปกติ ช่น กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มพลังงาน และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง

 


สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Idexในปี 63 ประเมินแบบอนุรักษ์นิยมไว้ใช่วงพี/อี เรโซ ที่ 16.5-17.5 เท่า เมื่อคำนวณกับ EPS ปีนี้ที่ 95.71 บาทต่อหุ้น จะได้กรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index บริเวณ 1,579 จุด เป็นกรอบล่าง และมี 1,675 จุด เป็นกรอบบน มี Upside เปิดกว้างสุดจาก ปัจจุบันราว 6.8%

 


พร้อมกันนี้ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้ จะเติบโตที่ 2.8% จากส่วนใหญ่ที่ประเมินว่าจะมีการเติบโตที่ระดับ 2.5 - 3.2% โดย2 ประเด็นหลักที่เข้ามากดดันเศรษฐกิจไทย ได้แก่ ภัยแล้ง เนื่องจากฝนไม่ตกตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมาและมีเกณฑ์ตกล่าช้าไป 2 เดือน ในขณะที่น้ำในเขื่อนมีปริมาณใช้ได้เพียง 34% ซึ่งถือว่าน้อยมาก เทียบเท่ากับภัยแล้งเท่าในปี2522 ซึ่งจะส่งผลให้เกษตกร ทำให้กำลังการผลิตลดลง และส่งผลต่อกำลังซื้อ รวมถึงด้านการส่งออก มีความเสี่ยงจากปัญหาของ Trade war ที่ยังคงเหลือการเก็บภาษีที่เหลืออยู่ และค่าเงินบาทแข็งค่าผิดผกติ คาดว่าปี หากค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าปัจจุบัน ก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อส่งออก ซึ่งจะกดดันGDPในประเทศต่ำลง

 

 

"สำหรับปีที่ผ่านมา Fund flow ได้ขับเคลื่อนไปยังตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ทางฝั่งบ้านเราค่อนข้าง underperform มาก เนื่องจากฟันด์โฟลว์ไหลออกจากประเทศไทยติดต่อกันเป็นปีที่3 ซึ่งปี2561เป็นปีที่ถูกขายมากที่สุด แต่อย่างไรก็ตามในปี62 SET มีแรงบวก1% จากแรงซื้อของสถาบันการเงินเข้ามาหนุนตลาด"นายเทิดศักดิ์ กล่าว

 

ด้านปัจจัยการขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทย มองว่าหลังการพิจารณางบประมาณปี63 วาระที่2-3 ผ่านสำเร็จ จะสามารถเบิกจ่ายได้ต้นเดือนกุมภาพันธ์ เป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หลังจากไร้เม็ดเงินจากรัฐบาลออกมาในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมายังไม่มีเม็ดเงินออกมา ซึ่งจะก่อให้เกิด งบประมาณเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจและความคาดหวังจากดอกเบี้ยนโยบายระดับต่ำ 1.25% ต่อเนื่องในปี 2563

 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ แนะนำเป็นหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวหนุนให้ผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เช่น BGRIM , PTT,LH , AP,ROBINS และ CPF กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เน้นลงทุนเฉพาะไตรมาสที่1/63 กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จะเติบโตและได้รับงานมากขึ้นจากการเบิกจ่ายของรัฐบาลหลังการพิจารณางบประมาณผ่าน ,กลุ่ม ICT มีความโดดเด่นในช่วงประมูล 5G ได้แก่ ADVANC

 

 

พร้อมทั้งแนะนำหลีกเลี่ยงเข้าลงทุนในกลุ่มการเกษตร และกลุ่มที่ใช้น้ำมัน เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมการบิน การเดินเรือ เป็นต้น

 

 

ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงตามทิศทางตลาดโลก จากเหตุที่สหรัฐสังหารผู้นำทหารระดับสูงอิหร่านส่งผลให้เกิดความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง แต่คาดว่าหุ้นกลุ่มพลังงานจะช่วยพยุงตลาดได้บางส่วน หลังราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นแรงที่อาจจะส่งผลกระทบกับการผลิตน้ำมันในตะวันออกกลาง ปริมาณน้ำมันในตลาดโลก และสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว คาดคาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,555 – 1,580 จุด

 


สำหรับปัจจัยลบในประเทศที่กดดันตลาดหุ้นไทย อาทิ ภาวะภัยแล้งปีนี้เป็นความเสี่ยงในอนาคตที่จะกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 รวมทั้งปัจจัยการเมืองในประเทศมีความไม่แน่นอนในเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจและ และค่าเงินบาทผันผวนและมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นกดดันการส่งออก

 


ด้านนางสาว วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ คือ สถานการณ์ราคาน้ำมันขยับขึ้นจากสถานการณ์ตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางส่งผลบวกเชิงจิตวิทยาหุ้นพลังงาน และ การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

 


อย่างไรก็ตามแนะนำจับตาการประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) ในวันที่ 8 ม.ค. นี้ และในวันที่ 8-10 ม.ค. สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้น Defensive Stock หุ้นปลอดภัย ได้แก่ BEM และ PLANB รวมทั้ง หุ้นพลังงานที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น ได้แก่ PTT และ PTTEP

 


ส่วนราคาทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า สำหรับราคาทองคำคาดปีนี้ทองคำเคลื่อนไหวในกรอบ 1,450-1,650 ดอลลาร์ หรือ 20,550-23,680 บาทต่อบาททองคำ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามระหว่างสหรัฐและอิหร่าน

 


อีกทั้งเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าปี 2563 จะเริ่มชะลอตัวทั้ง สหรัฐ ยูโรโซน อังกฤษ ญี่ปุ่น และจีน ส่งผลให้ความต้องการถือสินทรัพย์เสี่ยงลดลง อย่างไรก็ตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐที่คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยจนถึงไตรมาส 3/2563 คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 1 ครั้งในช่วงไตรมาส 4/2563

 

 

ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ ปัจจัยที่น่าจับตาคือการเลือกตั้งสหรัฐช่วงปลายปี 2563 หาก ทรัมป์ ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไป เราคาดว่าจะส่งผลบวกต่อราคาทองคำเนื่องจากนโยบาย “อเมริกามาก่อน”

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

TERA เปิดเทรดวันแรกราคาพุ่งเหนือจอง 122.86 %

TERA เปิดเทรดวันแรกราคาพุ่งเหนือจอง 122.86 %

คุมเชิง By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ มองเกมหุ้นภาพรวม น่าจะเป็นรูปแบบการเทรด การเล่นคุมเชิง เน้นเล่นรอบ เล่นสั้น บนปัจจัยบวกใหม่...

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้