HotNews: สแกนหุ้นงบโค้ง3เด่น
GGC -WHA-AP-BR
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 27 ตุลาคม 2560 ) --------เข้าสู่ฤดูกาลประกาศผลประกอบการโค้ง 3 ของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ทีมข่าวหุ้นอินไซด์จึงขอนำเสนอ หุ้นที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะมีกำไรเติบโตอย่างโดดเด่น เป็นมุมมอง เป็นข้อมูล ให้นักลงทุนได้รับทราบ ซึ่งจากการสำรวจ
เบื้องต้น GGC -WHA-AP-BR เป็นหุ้นที่ถูกสแกนว่างบQ3/60 จะเติบโตอย่างน่าสนใจ ขอเชิญติดตาม
บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง ระบุว่า บมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล หรือ GGC การขยายตัวของปริมาณขายและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์จะผลักดันให้กำไรหลักของบริษัทเติบโตขึ้น YoY ไปจนถึงไตรมาส 4/60และคาดการณ์อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีของกำไรหลัก
อยู่ที่ 10% ในปี 2560-2562 เทียบกับอัตราการเติบโตของกำไรหลักของ SET ที่เพียง 7% CAGR นอกจากนี้ยังมีโอกาสในการปรับเพิ่มประมาณการกำไรหากปริมาณขาย และ/หรือ ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่สูงกว่าคาดและการลงทุนในอนาคต ปัจจุบัน GGC ซื้อขายอยู่ในระดับ PBV ปี 2560 ที่ 1.4 เท่า
ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มเคมีภัณฑ์ในภูมิภาคที่ 1.7 เท่าและค่าเฉลี่ยกลุ่มโอลีโอเคมีในภูมิภาคที่ 1.6 เท่า เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ
คาดกำไรหลักไตรมาส 3/60 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ YoY
เราคาดบริษัทจะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/60 ที่ 145 ล้านบาท ลดลง 29% YoY แต่เพิ่มขึ้น 105% QoQ หากไม่นับรวมคาดการณ์ขาดทุนจากสินค้าคลังที่ 230 ล้านบาท กำไรหลักไตรมาส 3/60 คาดว่าจะอยู่ที่ 391 ล้านบาท เติบโตอย่างมาก YoY ถึง 330% (แต่ลดลง 26% QoQ) โดย
ปัจจัยที่หนุนการเติบโตของกำไรหลัก YoY มาจาก 1) ปริมาณขายเมทิลเอสเตอร์ (B100) เพิ่มขึ้น (หนุนโดยข้อกำหนดการใช้ B7), 2) ปริมาณขายแฟตตี้แอลกอฮอล์ (FA) เพิ่มขึ้น เนื่องจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง และ 3) ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลง (น้ำมันปาล์ม
ดิบและน้ำมันเมล็ดในปาล์ม) ทั้งนี้การปรับตัวกลับสู่ระดับปกติของส่วนต่างราคาทั้ง B100 และ FA น่าจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้กำไรหลักปรับตัวลดลง QoQ
คาดกำไรหลักเติบโตต่อเนื่อง YoY ไตรมาส 4/60
เราคาดว่าการเติบโตอย่างมากของกำไรหลักของบริษัทจะต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 4/60 หนุนโดยการเติบโตของปริมาณขายและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้น เราคาดว่าปริมาณขาย B100 จะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด YoY ในไตรมาส 4/60 หนุนโดยข้อกำหนด B7 เป็นเวลา 3เดือน
เทียบกับข้อกำหนด B3 และ B5 ในไตรมาส 4/59 ทั้งนี้เราคาดว่าปริมาณขาย FA จะเพิ่มขึ้น YoY ในไตรมาส 4/60 หนุนโดยอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง (ราคาถูกกว่า FA สังเคราะห์) นอกจากนั้นเราคาดว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (ทั้ง B100 และ FA) จะปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY หนุนโดยต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลง
เนื่องจากราคาน้ำมันปาล์มที่ปรับตัวลดลง YoY
อย่างไรก็ตาม เราคาดว่ากำไรหลักไตรมาส 4/60 จะอ่อนตัวลง QoQ เนื่องจากปริมาณขายที่ลดลง (เนื่องจากอุปสงค์ที่เพิ่มมากเป็นพิเศษจากลูกค้า ในไตรมาส 3/60) กอปรกับส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น QoQ (โดยปกติช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค.
จะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของผลผลิตปาล์มน้ำมัน) อย่างไรก็ตามกลับช่วงไฮซีซั่นสำหรับทั้งผลิตภัณฑ์ B100 และ FA ในช่วงไตรมาส4 น่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบต่อการปรับตัวลดลง QoQ ของกำไรหลัก
มีโอกาสที่ตลาดจะปรับเพิ่มประมาณการกำไรหลักปี 2560
เนื่องจากตัวเลขกำไรหลักในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ที่ดี กอปรกับคาดการณ์กำไรหลักที่แข็งแกร่งในไตรมาส 3/60 บ่งชี้ว่ามีโอกาสที่เราและตลาดจะปรับเพิ่มประมาณการกำไรหลักปี 2560 เมื่อนำกำไรหลักในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ของ GGC มารวมกับคาดการณ์กำไรหลักของเรา
ในไตรมาส 3/60 ตัวเลขกำไรในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2560 เกือบจะเท่าประมาณการทั้งปีของเราและตลาด ภายหลังการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/60 มีแนวโน้มที่ตลาดจะปรับประมาณการกำไรหลักเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากอาจมีการบันทึกขาดทุนของสินค้าคงคลังในไตรมาสนี้
เราจะรอดูตัวเลขที่จะประกาศก่อนแล้วจึงจะปรับประมาณการของเรา
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ออกบทวิเคราะห์เปิดเผยว่า บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน ) WHA คาดการณ์กำไรหลักเติบโตสูงเทียบ y-o-y คาดการณ์กำไร 3Q60 เป็น 349 ล้านบาท เพิ่มถึง 719% y-o-yหรือ ประมาณ 8 เท่าตัว เพราะกำไรตามส่วนได้เสียบริษัทร่วมมากขึ้นเป็น
643 ล้านบาท เทียบกับ y-o-y ที่เพียง220 ล้านบาท เพราะหลังจากปิดซ่อมบำรุง Gheco-One ใน 1Q60 และกลับมาผลิตไฟฟ้าอีกครั้งใน 2Q60 ผลการดำเนินงานกลับมาดีขึ้นมาก และ 3Q60 มีผลดีต่อเนื่อง รวมทั้งโครงการบริษัทร่วมทุนโรงไฟฟ้าของ WHAUPก็ทยอยการ COD โรงไฟฟ้าใหม่อย่างต่อ
เนื่อง ด้านดอกเบี้ยจ่ายลดลงเพราะบริษัทมีการคืนหนี้เงินกู้ให้ลดลงไปมาก อีกทั้งฐาน 3Q59 ก็ต่ำเป็นพิเศษ (Low base effect) กำไรเป็นเพียง 43 ล้านบาทซึ่งต่ำสุดในรอบปี 59 แม้รายได้ขายนิคมไตรมาสนี้คาดว่าออกมาน้อยเป็น 252 ล้านบาท ลด 21% y-o-y เพราะไตรมาสนี้คาดว่าโอนเพียง60 ไร่
แต่คาดว่ากำไร 3Q60 กลับลดลงมากเทียบ q-o-q คือปรับลงในอัตรา 64% เพราะโอนที่ดินนิคมฯน้อยลงมากคือ 60 ไร่ เทียบ q-o-q ที่ 510 ไร่ คาดว่ารายได้ในส่วนนี้ที่ 252 ล้านบาท ต่ำลงถึง 86% y-o-y กำไรตามส่วนได้เสียบริษัทร่วมลดลง หลังฐาน 2Q60 มีรายการพิเศษเงินชดเขยประกัน
ภัย 107 ล้านบาท และกำไรอัตราแลกเปลี่ยน 99 ล้านบาท แต่ยังดีที่คาดว่า 3Q60 ยังมีกำไรอัตราแลกเปลี่ยนถึง 146 ล้านบาท แต่ไม่มีเงินชดเขยประกันภัย สรุปคือ คาดว่ากำไรตามส่วนได้เสียบริษัทร่วม 3Q60 เป็น 643 ล้านบาท ต่ำลง 7% q-o-q
คาดว่ากำไรจะไปสูงสุด 4Q60 ในรอบปีนี้ ที่ 1,742 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 55% เทียบกับประมาณการทั้งปี 60 สืบเนื่องจากเป็นไตรมาสที่มีการขายสินทรัพย์เข้าสู่ REIT คาดว่ารายได้เป็น 4.78 พันล้านบาทขณะที่ในรอบ 9M60 ไม่มีรายการนี้เลย ซึ่งเป็นปกติของบริษัทที่จะมีการ
ขายสินทรัพย์ใน 4Q ของทุกปี คาดว่ากำไรหลัก 4Q60 จะเติบโตถึง 399% เทียบ q-o-q อย่างไรก็ตามจะลดลง 27% y-o-y เพราะปีที่แล้วมีการขายสินทรัพย์มากเป็นพิเศษมีของ HEMRAJ ด้วย รายได้ขายสินทรัพย์ 4Q59 สูงถึง 11.7 พันล้านบาท
คาดว่า WHA ยังน่าสนใจใน Theme EEC ล่าสุดภาครัฐเตรียมออกข้อกำหนดผังเมืองให้จบภายใน 6 เดือนสร้างความมั่นใจนักลงทุน และเป็นการร่นระยะเวลาให้สั้นลง เพราะหากรอเวลาการดำเนินการปกติของกรมโยธาธิการและผังเมืองกระทรวงมหาดไทยต้องใช้เวลาถึง 1 ปีครึ่งถึง 2 ปี
ขณะเดียวกันจะต้องไม่ขัดกับ พ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกที่จะมีการประกาศใช้ต่อไป และเมื่อ พ.ร.บ.ฉบับนี้ออก ก็จะยกเลิกข้อกำหนดข้างต้น
คงคำแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐานเป็น 4.33 บาท ประเมินด้วยส่วนลด 20% จาก NAV ข้อดีบริษัทลดเงินกู้ได้เร็วมากจากสูงสุดปี 58 ที่ 47.7 พันลบที่ซื้อ HEMRAJ. ตอนนี้เหลือเพียง 37.5 พันลบ. อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนลดลงเป็น 1.3 เท่า จากปี 58 ที่ 2.3 เท่า ด้วยการขายสินทรัพย์ที่ไม่เป็น
หลัก (non- core asset) ของ HEMRAJขายโรงงานสำเร็จรูปของ HEMRAJ เข้า HREIT และจัดตั้งบริษัท WHAUP นำมา IPO ได้เงินมาคืนหนี้ ดอกเบี้ยจ่ายทยอยลดลง อัตราดอกเบี้ยก็ต่ำลงหลังคืนหนี้ Bridge Loan ที่ใช้ซื้อ HEMRAJ ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง แม้คาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรหลักไม่ได้สูง
เป็นพิเศษคือปีนี้และปีหน้าที่ 9%/4% y-o-y ตามลำดับ แต่ก็นับได้ว่าWHA เป็นหลักทรัพย์ที่น่าสนใจในเรื่องความมั่งคั่งจากสินทรัพย์ (Asset Play)
บล.ฟิลลิป ระบุในบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ว่า บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)AP คาดกำไร 3Q60 อยู่ที่ 617 ลบ เพิ่มขึ้น 35% y-y : คาดยอดโอนที่ 4.6 พัน ลบ โดยหลักมาจากยอดจองแนวราบที่ดีมากที่เพิ่มขึ้น 26% y-y หนุนยอดโอนแนวราบไตรมาสนี้ไปถึง 3.5 พัน ลบ ส่วนที่
เหลือมาจากการโอนคอนโด ซึ่งเป็นการโอนต่อเนื่องจากโครงการ Rhythm อโศก และ สุขุมวิท 42 ขณะที่ Margin เพิ่มขึ้น y-y อีกทั้ง รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเป็น 102 ลบ ซึ่งพลิกจากส่วนแบ่งขาดทุน 52 ลบในช่วง 3Q59 ภาพรวมกำไรจึงเพิ่มขึ้น 35% y-y
กำไรเติบโตต่อเนื่องไปถึงปี 61: ยอดจองรวม 9M60 ได้มา 28 พัน ลบ เกินเป้าที่ 26 พัน ลบ โดยยอดจองแนวราบและคอนโดฯดีกว่าคาด ทำให้การโอนแนวราบดีกว่าคาด ขณะที่ Margin 2H60 มีแนวโน้มดีกว่าคาดเล็กน้อย ทางฝ่ายจึงเพิ่มประมาณกำไรปีนี้เพิ่ม 9% ส่วนปี 61 คาดยอดโอน
เติบโต 7% ที่ 23.1 พัน ลบ ซึ่งมี Backlog รองรับ 11% แต่คาดยอดจองแนวราบที่ดีจะช่วยให้ยอดโอนปีหน้าเติบโตได้ ในเวลาเดียวกัน ส่วนแบ่งกำไรบ.ร่วมดีขึ้นอีก 19% โดยล่าสุดมี Backlogรองรับแล้ว 87% คาดกำไรปี 61 เพิ่ม 8% โดยปรับเพิ่มประมาณการปี 61 ขึ้น 6%
P/E ยังถูก แนะนำ “ทยอยซื้อ” ราคาพื้นฐาน 9.80 บาท: ราคาหุ้นยังถูก มี P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 9 เท่า โดยมีปัจจัยเร่งจากงบ 3Q60 และกำไรเติบโตไปถึงปีหน้า
บริษัทหลักทรัพย์ ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) แนะนำซื้อ บริษัท บางกอกแร้นช์ จำกัด (มหาชน) BR ราคาเป้าหมาย 9 บาท/หุ้น เราคาดกำไรปกติใน 3Q17 เติบโต 93% yoy จากธุรกิจในยุโรปที่ฟื้นตัวต่อเนื่องและราคาขายเฉลี่ยที่สูงขึ้น เราคาดกำไรปกตืใน FY18F จะเติบโตแข็งแกร่งที่
21.4% สูงกว่าอุตสาหกรรมที่ 19.2% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นและกำไรจากบริษัทร่วม
เราปรับประมาณการกำไรต่อหุ้นใน FY17-19F ขึ้น 2.1-4.9% จากผลประกอบการ 3Q17F ที่คาดว่าจะออกมาแข็งแกร่ง เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมายที่สูงขึ้นป็น 9 บาท อิงจาก P/E 13x ในปี FY19 (+1 s.d. ของค่าเฉลี่ยสองปี)
ด้านบทวิเคราะห์ บมจ.หลักทรัพย์ เคจีไอ(ประเทศไทย) เปิดเผยว่า เราคาดว่ากำไรรวมของทั้งกลุ่มธุรกิจพลังงานหมุนเวียน 3Q60จะอยู่ที่ 1.01 หมื่นล้านบาท (+21% YoY, -16% QoQ) ซึ่งกำไรที่เพิ่มขึ้น YoY จะมาจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ ผล
การดำเนินงานที่ดีขึ้นของโครงการหงสาก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของกำไร YoY แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านฤดูกาลก็ส่งผลให้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ IPP ลดลง QoQ เนื่องจากไตรมาสที่สองเป็นช่วง high season ของโรงไฟฟ้า IPPs (peak AP จากการที่ความต้องการใช้
ไฟฟ้าสูงในช่วงหน้าร้อน) และเนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลงในไตรมาสที่สามจึงส่งผลให้weight factor ลดลงไปด้วย
เราคาดว่ากำไรรวมของธุรกิจโรงไฟฟ้าแบบ conventional จะอยู่ที่ 9.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% YoY แต่ลดลง 19% QoQ โดยเราคาดว่ากำไรของธุรกิจโรงไฟฟ้าแบบ conventional ส่วนใหญ่จะเพิ่มขึ้น YoY จากประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้นของโครงการโรงไฟฟ้า ซึ่งในกลุ่มนี้เรา
มองว่ากำไรของ BPP และ RATCH จะเติบโตอย่างน่าสนใจที่ 37% และ 23% ตามลำดับ จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้นของโครงการหงสา ในขณะเดียวกัน ปัจจัยด้านฤดูกาลที่กระทบกับโครงการ IPPs (ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน) ก็จะฉุดให้กำไรของกลุ่มลดลง QoQ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้
ประกอบการบางรายยังมีปัจจัยบวกที่มาช่วยชดเชยผลกระทบจากปัจจัยด้านฤดูกาล อย่างเช่น GPSC (รายได้จากเงินปันผล) และบริษัทที่ไม่ได้ทำโครงการ IPPs อย่างเช่น BGRIM (SPP และพลังงงานหมุนเวียน) และ CKP (พลังน้ำ, SPP และพลังงานมหุนเวียน)ซึ่งคาดว่ากำไรน่าจะเพิ่มขึ้น QoQ
"เราคาดว่ากำไรรวมของธุรกิจพลังงานหมุนเวียนจะอยู่ที่ 828 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% YoY และ 34% QoQโดยคาดว่าจะกำไรของทุกบริษัท ซึ่งได้แก่ BCPG, GUNKUL และ TPCH จะโตทั้ง YoY และQoQ เรามองว่ากำลังการผลิตใหม่จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของกำไรของ
BCPG (เนื่องจากมีการรับรู้กำไรจากโครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพ) และ TPCH (มี 2 โครงการใหม่ในช่วง12เดือนที่ผ่านมา) อย่างไรก็ตามบริษัทจะมีรายการค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญประมาน 30ล้านบาท ซึ่งจะทำให้เกิดแรงกดดันต่อหุ้น ในขณะเดียวกัน การเติบโตของกำไรของ GUNKUL จะมา
จากกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก WED (โครงการ WED เฟสที่ 2 กำหนด COD ใน 4Q59 และโครงการนี้ก็ยังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น QoQ ด้วย)"บทวิเคราะห์ระบุ
ทั้งนี้เรามองว่าหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรแข็งแกร่งจะมีแนวโน้มเป็นบวกในระยะสั้นก่อนที่จะมีการประกาศงบ 3Q60 โดยหุ้นที่เรามองว่าน่าสนใจได้แก่ RATCH และ GUNKUL เนื่องจากยังมี upside อีกถึง 16% และ23% ในขณะที่เรามองว่าราคาหุ้น BGRIM, BPP, BCPG และ CKP สะท้อน
แนวโน้มกำไรที่เป็นบวกไปแล้ว และ เราเริ่มดูแลหุ้น WHA Utilities and Power (WHAUP.TB/WHAUP TB) ด้วยคำแนะนำซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2561 ที่ 8.50 บาท (มี upside 16% และกำไรมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งทีสุดในกลุ่มในปี 2560)ในขณะเดียวกัน เราก็เริ่มดูแลหุ้น B.Grimm Power
(BGRIM.BK/BGRIM TB) ด้วยคำแนะนำถือ โดยให้ราคเป้าหมายปี 2561 ที่ 26.00 บาท (เหลือ upside นิดเดียว)
ส่วน Risks เกิดความล่าช้าในการจัดสรรกำลังการผลิตใหม่, เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านกฎเกณฑ์ของทางการ, มีการหยุดเดินเครื่องโรงไฟฟ้า และ เกิดความล่าช้าในการก่อสร้างโครงการใหม่
"เราคาดว่าผลประกอบการ 3Q60 ของธุรกิจพลังงานหมุนเวียนซึ่งได้แก่ BCPG Pcl (BCPG.BK/BCPG TB)*, TPC Powe Holding (TPCH.BK/TPCH TB) and Gunkul Engineering (GUNKUL.BK/GUNKUL TB)* จะโตได้ทั้ง YoY และQoQ จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นใหม่ ส่วนผล
ประกอบการของธุรกิจโรงไฟฟ้าแบบ conventional เราคาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ โดยเราคาดว่ากำไรของ Banpu Power (BPP.BK/BPP TB)* และ Ratchaburi Electricity Generating (RATCH.BK/RATCH TB)* จะเติบโตอย่างน่าสนใจ YoY ในขณะที่คาดว่ากำไรของ B.Grimm Power
(BGRIM.BK/BGRIM TB) และ CK Power (CKP.BK/CKP TB)* จะเติบโตอย่างน่าประทับใจ QoQ"บทวิเคราะห์ระบุ
-----จบ----