HotNews : BAM พร้อมโรดโชว์กองทุนนอก ก่อนขาย IPO 1,765 ล้านหุ้น

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(4 ตุลาคม 2562) นางทองอุไร ลิ้มปิติ ประธานกรรมการบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) BAM เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) ว่า ล่าสุดบริษัทฯมีแผนเดินสายให้ข้อมูลแก่นักลงทุนสถาบันในต่างประเทศ(โรดโช์) โดยในสัปดาห์หน้าบริษัทฯจะเริ่มที่ประเทศสิงคโปร์ อังกฤษ ฮ่องกง และสหรัฐฯ ตามลำดับ หลังจากที่ผ่านมาบริษัทฯได้เดินสายให้ข้อมูลแก่นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งมีการตอบรับเป็นอย่างดี

 

 

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา บริษัทฯได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อคณะกรรมการกำกัยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ โดยหุ้นที่จะเสนอขายประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 280 ล้านหุ้น หุ้นสามัญเดิมไม่เกิน 1,255 ล้านหุ้น และมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Greenshoe) ไม่เกิน 230 ล้านหุ้น รวมทั้งสิ้นจำนวนไม่เกิน 1,765 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 54.4 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ

 

ภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้บริษัทฯจะนำเงินระดมทุนไปขยายกิจการโดยการซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายในอนาคต ชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงินและชำระหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทฯรวมถึงตั๋วเงินจ่ายที่ถึงกำหนด

 

 

พร้อมกันนี้ หลังเข้าไอพีโอแล้วบริษัทฯจะลดสัดส่วนจากกองทุนฟื้นฟู เหลือเพียง 45% จากเดิม 99.99% บริษัทฯจะเปลี่ยนสถานะเป็นเอกชนเต็มตัวทันที จากเดิมเป็นรัฐวิสาหกิจ และถึงแม้บริษัทจะพ้นสภาพจากการเป็นรัฐวิสาหกิจบริษัทฯก็ไม่มีความกังวลเรื่องต้นทุนทางการเงิน เนื่องจากมีสถาบันการเงินกว่า 10 แห่ง ที่เจรจาและพร้อมเข้ามาสนับสนุนอยู่เสมอ

 

 

นางทองอุไร กล่าวถึงความมั่นใจในการระดมทุนว่า บริษัทฯเชื่อมั่นในจุดแข็งซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาด(มาร์เก็ตแชร์) ถึง 47.3% และมีมูลค่าสินทรัพย์ 100,7000 ล้านบาท แบ่งเป็น NPL มูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาท NPA มูลค่า 20,000 ล้านบาท โดยในช่วง3ปีที่ผ่านมาบริษัทฯมีกำไรสุทธิต่อเนื่องปีละกว่า 4,500 ล้านบาท และมีสิทรัพน์เติบโตเฉลี่ยปีละ 7% และปันผลไม่ต่ำกว่า 40%

 

 

นอกจากนี้ บริษัทฯยังเป็นหุ้นที่ได้เปรียบทุกสภาวะเศรษฐกิจโดยหากเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาขึ้น ก็จะทำให้ลูกหนี้มีความสามารถชำระหนี้มากขึ้น ตลาดอสังหาริมทรัพน์และสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ก็จะมีการเติบโต และตรงกันข้ามหากสภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลงก็จะเพิ่ทโอกาสในการซื้อหนี้เสีย(NPLs) และซื้อทรัพย์ที่ธนาคารซื้อมาจากการขายทอดตลาดทรัพย์ เป็นทรัพย์ที่ลูกหนี้นำมาเป็นหลักประกันการกู้เงินและหลุดจำนอง (NPAs) ในราคาที่ไม่สูงรวมถึงต้นทุนการกู้ยืนก็ต่ำด้วยเช่นกัน

 

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯจะมีการขยายทรัพย์สิน ติดตาม NPLs และ NPAs อย่างใกล้ชิด เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายสินทรัพย์และคัดเลือกสินทรัพย์ที่มีศักยภาพสูง ซึ่งจะทำให้บริษัทฯสามารถบริหารต้นทุนการได้มาซึ่งสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ “การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน ทำให้บริษัทฯ สามารถระดมทุนและเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่หลากหลายมากขึ้น BAM จะสามารถทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” นางทองอุไรกล่าว

 

 

 

นางทองอุไร กล่าวอีกว่า “ธุรกิจการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ ในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในระบบธนาคารมีอัตราการเติบโต (CAGR) เฉลี่ยร้อยละ 12.8 ประกอบกับราคาประเมินที่ดินล่าสุดในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยโดยภาพรวมทั้งประเทศที่ร้อยละ 27.7 (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย และกรมธนารักษ์) จากโอกาสทางธุรกิจเช่นนี้ BAM ได้กำหนด 3 ยุทธศาสตร์หลักที่จะสานต่อการเติบโตในอนาคต และเพิ่มความแข็งแกร่งให้องค์กร”

 

 

ยุทธศาสตร์ที่ 1 : ขยายฐานทรัพย์สิน BAM ติดตามการขาย NPLs และ NPAs อย่างใกล้ชิด เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายสินทรัพย์ และ คัดเลือกสินทรัพย์ ที่มีศักยภาพสูง ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนการได้มาซึ่งสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การที่บริษัทฯ มีสาขาทั่วประเทศ มีพนักงานที่มีประสบการณ์สูงและมีความเข้าใจในตลาดอย่างดี ทำให้บริษัทฯ สามารถประเมินศักยภาพและราคาทรัพย์ได้แม่นยำ

 

ยุทธศาสตร์ที่ 2 : ลดระยะเวลาการดำเนินงานเพื่อสร้างรายได้ให้เร็วขึ้น BAM ให้ความสำคัญกับการเจรจากับลูกหนี้ การปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และการให้ลูกหนี้ผ่อนชำระหนี้ตามกำลังที่สามารถ BAMให้ความสำคัญกับการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่เป็นที่พึงพอใจของทุกฝ่ายเท่าที่เป็นไปได้ พร้อมกันนี้ BAM ยังทำการตลาดเชิงรุกโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น เว็บไซต์ และช่องทาง Social Media ขององค์กร ฯลฯ

 

ยุทธศาสตร์ที่ 3 : การพัฒนาคนเพื่อเพิ่มศักยภาพองค์กร BAM เชื่อว่าพนักงานที่มีความสามารถและความเชี่ยวชาญเป็นปัจจัยหลักของความสำเร็จทางธุรกิจ จึงได้จัดการฝึกอบรมพนักงานทั้งภายในและภายนอกองค์กรเพื่อพัฒนาความสามารถของพนักงาน รวมทั้งมีการเตรียมแผนการสืบทอดตำแหน่งที่ชัดเจน

 

 

BAM ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 BAM มีกำไรสุทธิรวมที่ 5,202.02 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.58 จากปี 2560 ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทฯ จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2562 บริษัทฯ ได้ปิดบัญชีเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ (NPLs) ซึ่งคำนวณจากมูลค่าต้นทุนการซื้อไปแล้วเป็นจำนวน 90,562.65 ล้านบาท โดยสามารถเรียกเก็บเงินสดได้จำนวน 122,931.74 ล้านบาท

 

ในปี 2561 BAM มีเงินสดรับจากธุรกิจ NPLs และ NPAs รวมทั้งสิ้น 16,569.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ทำได้ 13,515.74 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.59 และมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 5,202.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ทำได้ 4,500.82 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.58 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562

 

 

BAM