Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews : กูรูส่อง SET ครึ่งเดือนหลังมีลุ้นรีบาวด์ BANK - PROP เด่นสุด

2,231

HotNews : กูรูส่อง SET ครึ่งเดือนหลังมีลุ้นรีบาวด์ BANK - PROP เด่นสุด

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (16 สิงหาคม 2562) กูรูทิสโก้ เปิดกลยุทธ์  SET Index บริเวณ 1600 ลงมาน่าทยอยเสี่ยงซื้อเก็งกำไรรอบสั้นๆ มองครึ่งเดือนหลังมีโอกาสรีบาวด์ทางเทคนิค    แจกธีมหุ้นเทรดดิ้งระยะสั้น  BANK และ PROP เด่นสุด แนะนำ KBANK, SCB / ANAN, ORI, SPALI 

 

บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ ออกบทวิเคราะห์เปิดเผยว่า GDP ไตรมาส 2/2019F ที่จะประกาศในวันที่ 19 ส.ค. นี้ เราคาดว่าจะโตเพียง 2.5% ต่ำสุดในรอบ 4 ปีครึ่ง และเรามองเศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มโตต่ำกว่า 3% (เราคาดที่ 2.9% vs. ตลาดคาดการณ์เฉลี่ยปัจจุบันยังอยู่ที่ 3.3%) จากปัจจัยกดดันต่างๆ อาทิ สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ตึงเครียดมากขึ้น (ล่าสุดสหรัฐฯ ประกาศจะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 10% ในรายการสินค้ามูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่ม 1 ก.ย. นี้), ความล่าช้าในการอนุมัติงบประมาณประจำปี FY2020 เป็นต้นปีหน้า (ซึ่งกระทบต่อเม็ดเงินงบลงทุนในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค. 2019), ปัญหาภัยแล้ง (ซึ่งกระทบกำลังซื้อของภาคครัวเรือน) และการชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว (ส่วนหนึ่งจากค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงกระทบต่อนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางออกนอกประเทศ)

 

 

ด้านงบไตรมาส 2/2019 (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ส.ค.) โดยรวมมีกำไรสุทธิ 2.17 แสนล้านบาท ลดลง -23% YoY และ -18% QoQ และหากเทียบกับประมาณการของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) ต่ำกว่าคาด 2% ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดโดยรวมในปี 2019-20F มีแนวโน้มถูกปรับลงอีก โดยนับจากต้นปีนี้ (YTD) EPS ของตลาดถูกปรับลงมาแล้ว -11.9% และ -9.8% มาอยู่ที่ 101.4 บาท และ 112.6 บาท ตามลำดับ

 

 

ท่ามกลางการเกิดสถานการณ์ “Inverted Yield Curve” ซึ่งในอดีตมักเป็นสัญญาณเตือนที่น่าเชื่อถือว่าจะเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจภายในช่วง 2 ปีข้างหน้า เราแนะติดตาม 3 เหตุการณ์สำคัญในช่วงครึ่งเดือนหลังที่อาจช่วยกระตุ้นให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวได้ (1) วันที่ 22-24 ส.ค. - การประชุมเศรษฐกิจประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่จัดขึ้นที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง เราเชื่อว่าจะเห็นแนวทางหรือการส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของหลายประเทศมากขึ้นท่ามกลางการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก (2) วันที่ 24-26 ส.ค. - การประชุม G7 อาจมีการหารือกันในประเด็นการค้าที่ยังมีความขัดแย้งอยู่ระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป รวมทั้งญี่ปุ่นด้วย นอกจากนี้ต้องติดตามความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในช่วงปลายเดือนนี้ต่อเนื่องจนถึงต้นเดือนหน้าด้วย (3) วันที่ 28-30 ส.ค. - การจัดงาน Thailand Focus 2019 อิงจากการศึกษาข้อมูลในอดีต SET Index มักตอบสนองเชิงบวกดีที่สุดในช่วง 2 สัปดาห์หลังการจัดงาน โดยมีโอกาสให้ผลตอบแทนเป็นบวกราว 67% ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนอยู่ที่ +1.3%

 

 

หลังจากที่เราแนะนำ “Wait&See” เป็นกลยุทธ์หลักตั้งแต่ SET Index หลุดระดับ 1715 จุดในช่วงสิ้นเดือนที่แล้ว นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เรามอง SET Index ที่เคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 1600 จุดลงมา น่าทยอยเสี่ยงซื้อเก็งกำไรรอบสั้น มองครึ่งเดือนหลังมีโอกาสรีบาวด์ทางเทคนิค เล็งเป้า SET Index ที่บริเวณ 1630-50 จุด โดยเรามองธีมหุ้นเทรดดิ้งระยะสั้นดังต่อไปนี้ (1) หุ้นพื้นฐานที่ราคาปรับตัวลงเร็วมากในเดือนนี้จนการประเมินมูลค่าอยู่ในระดับต่ำมากในรอบหลายปี น่าจะซึมซับปัจจัยลบไปมากแล้ว มีลุ้นดีดกลับ BANK และ PROP เด่นสุด แนะนำ KBANK, SCB / ANAN, ORI, SPALI ตามลำดับ (2) หุ้นงบดีกว่าตลาดคาด มีโอกาสปรับประมาณการกำไรขึ้น – CPF, EKH, HANA, TFG, TPIPP (3) หุ้นรับมาตรการรัฐกระตุ้นบริโภคฐานราก – CPALL, BJC / AEONTS, KTC, MTC (4) หุ้นรับประโยชน์จากงาน Thailand Focus – BANK ชอบ KBANK, SCB / COMM ชอบ BJC, MEGA / OTHERS ชอบ MAJOR, PLANB, BCH, DIF นอกจากนี้ เรายังคงชอบหุ้น 3 กลุ่มที่พิสูจน์แล้วว่า “Outperform” จากสงครามการค้ารอบก่อน (1) TRANS – ชอบ BEM, BTS (2) HELTH – BDMS, EKH (3) COMM – BJC, CPALL ผสานหุ้นเชิงรับปันผลดี - EASTW, EGCO, MAJOR, RATCH, ROJNA, TPIPP รวมทั้งหุ้นใน PF&REIT&IFF - QHPF, CPNREIT, WHART, EGATIF, JASIF, DIF, TFFIF

 

 

GDP ไตรมาส 2/2019F (19 ส.ค.) คาดโต 2.5% ต่ำสุดในรอบ 4 ปีครึ่ง, เรามองเศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มโตต่ำกว่า 3% (vs. ตลาดคาดการณ์เฉลี่ย 3.3%) เครื่องชี้เศรษฐกิจต่างๆ กำลังบ่งชี้ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงจากช่วงไตรมาสแรกของปี โดย GDP อย่างเป็นทางการของ 2Q19 ที่จะประกาศในวันที่ 19 ส.ค. เราคาดว่าจะขยายตัวชะลอลงจากระดับ 2.8% ใน 1Q19 มาอยู่ที่ 2.5% ใน 2Q19F และทำให้ GDP ใน 1H19F โต 2.7% จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอลงในวงกว้างทั้งอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้ TISCO Economic Strategy Unit (TISCO ESU) มีการปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยในปี 2019F ลงมาอยู่ที่ 2.9% จากคาดการณ์เดิมในเดือน ก.พ. ที่ 3.5% เพื่อสะท้อนถึงเครื่องชี้เศรษฐกิจที่แย่กว่าคาดในช่วงครึ่งแรกของปี และโมเมนตัมที่น่าจะอ่อนแอลงในครึ่งหลัง จากปัจจัยกดดันต่างๆ อาทิ สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ตึงเครียดมากขึ้น (ล่าสุดสหรัฐฯ ประกาศจะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 10% ในรายการสินค้ามูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่ม 1 ก.ย. นี้), ความล่าช้าในการอนุมัติงบประมาณประจำปี FY2020 เป็นต้นปีหน้า (ซึ่งกระทบต่อเม็ดเงินงบลงทุนในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค. 2019), ปัญหาภัยแล้ง (ซึ่งกระทบกำลังซื้อของภาคครัวเรือน) และการชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว (ส่วนหนึ่งจากค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงกระทบต่อนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางออกนอกประเทศ) โดยในปี 2019F เราคาดการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 3.6% และ 2.0% ตามลำดับ ส่วนการลงทุนภาครัฐคาดว่าแทบจะไม่ขยายตัว ในขณะที่การส่งออกอาจหดตัวราว 2.5%

 

 

ด้านแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในกรณีฐาน (baseline) เรามองว่า ธปท. น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.50% ไปจนสิ้นปี 2019F เนื่องจาก ธปท. มี “policy space” ที่จำกัด เพราะระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันอยู่สูงกว่าระดับที่เคยต่ำสุดที่ระดับ 1.25% ในปี 2009 (ช่วงวิกฤตซับไพร์ม) เพียง 0.25% เท่านั้น และเศรษฐกิจไทยในปีดังกล่าวหดตัว 0.7% ทำให้เรามองว่า ธปท. อาจเลือกเก็บกระสุนในการผ่อนคลายนโยบายการเงินไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อใช้ในยามจำเป็น

 

 

***บจ.ไทยมีกำไรสุทธิ 2Q19 โดยรวมลดลงมากทั้ง YoY และ QoQ, และต่ำกว่าคาด 2%***

 


จากการรวบรวมผลประกอบการไตรมาส 2/2019 (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ส.ค.) จำนวน 597 บริษัท จากจำนวนบริษัททั้งหมด 617 บริษัท (นับเฉพาะตลาด SET ไม่รวมตลาด mai) หรือคิดเป็นสัดส่วน 96% มีกำไรสุทธิรวม 2.17 แสนล้านบาท ลดลง -23% YoY และ -18% QoQ ขณะที่กำไรสุทธิ 6M19 รวมอยู่ที่ 4.85 แสนล้านบาท ลดลง -16% YoY ผลจากกำไรในกลุ่ม ENERG, ICT, PROP และ CONMAT ลดลงมากทั้ง YoY และ QoQ ขณะที่กำไรกลุ่ม BANK และ COMM ถือว่าลดลงเล็กน้อย การลดลงของกำไรในไตรมาสนี้หลัก ๆ เนื่องจากบริษัทหลายแห่งมีการตั้งสำรองผลประโยชน์พนักงานตามกฎหมายแรงงานฉบับใหม่ และไม่มีรายการพิเศษ เช่น กำไรจากการขายสินทรัพย์เช่นเดียวกับช่วงเวลาเดียวกันของไตรมาสก่อน

 

 

หากเปรียบเทียบกำไรสุทธิ 2Q19 ที่ประกาศกับประมาณการของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) จำนวน 170 บริษัท มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 1.92 แสนล้านบาท ต่ำกว่าตลาดคาดราว 2% โดยแบ่งเป็น 57 บริษัทมีงบดีกว่าคาด (% Surprise >= +5%) : 32 บริษัทมีงบตามคาด (% Surprise +/- 5%) : 81 บริษัทมีงบแย่กว่าคาด (% Surprise <= -5%) หรือคิดเป็นสัดส่วน 33% : 19% : 48% ตามลำดับ

 

 

เศรษฐกิจชะลอ + แบงก์ลดดอกเบี้ย + ราคาน้ำมันกลับมาผันผวน = ประมาณการกำไรตลาดมีโอกาสปรับลงอีก ด้วยงบ 2Q19 ส่วนใหญ่ออกมาต่ำกว่าคาด และกำไร 6M19 คิดเป็นสัดส่วนของประมาณการกำไรปีนี้ 46% ประกอบกับเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวกว่าคาดทั้งจากผลกระทบของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนยืดเยื้อและความล่าช้าในการอนุมัติงบประมาณประจำปี FY2020, การลดดอกเบี้ยเงินกู้ MRR และ MOR ของกลุ่มธนาคารล่าสุด และราคาน้ำมันที่กลับมาผันผวน น่าจะทำให้ประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดโดยรวมในปี 2019-20F มีแนวโน้มถูกปรับลงอีก โดยนับจากต้นปีนี้ (YTD) EPS ของตลาดถูกปรับลงมาแล้ว -11.9% และ -9.8% มาอยู่ที่ 101.4 บาท และ 112.6 บาท ตามลำดับ

 

 

 

***สหรัฐฯ เลื่อนเก็บภาษีสินค้านำเข้าจีนบางส่วนเป็น 15 ธ.ค. อาจเป็นปัจจัยบวกแค่ชั่วคราว***

 

สหรัฐฯ ประกาศชะลอการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่ 10% สำหรับสินค้าบางรายการ รวมมูลค่าราว 1.56 แสนล้านดอลลาร์ฯ ออกไปเป็นวันที่ 15 ธ.ค. ซึ่งโดยมากเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคสำคัญ ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เครื่องเล่นเกมส์ และของเล่นบางอย่าง ขณะที่สินค้ากลุ่มที่เหลือ ประมาณ 1.04 แสนล้านดอลลาร์ฯ จะยังคงถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้าที่ 10% ในวันที่ 1 ก.ย. ตามกำหนดการเดิม ซึ่งสินค้าที่สำคัญ ได้แก่ สินค้าเกษตร ของสะสมโบราณ เสื้อผ้าและรองเท้า และเครื่องครัว เป็นต้น เรามองการชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนหลายรายการอาจเป็นปัจจัยบวกแค่ชั่วคราวหลังตลาดหุ้นโลกปรับตัวลงแรงในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ขณะเดียวกันจะเป็นการเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับภาคธุรกิจในการวางแผนการผลิตสินค้าและการจ้างงาน รวมทั้งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2020 ซึ่งจะขึ้นอยู่กับผลการเจรจาการค้าในระยะข้างหน้าว่าจะความคืบหน้าหรือไม่ โดยทั้งสองฝ่ายมีแผนที่จะโทรศัพท์คุยกันอีกครั้งในในช่วงปลายเดือน ส.ค.นี้ ก่อนที่จะพบปะกันที่กรุงวอชิงตัน สหรัฐฯ ในเดือนต้นเดือน ก.ย.

 

 

อย่างไรก็ดี เรายังคงมุมมองเดิมว่าการตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้จีนเปลี่ยนแปลงกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาเรื่องการถ่ายโอนความรู้ของบริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาทำธุรกิจในจีน (Technology Transfer) และการให้เงินอุดหนุนในบางอุตสาหกรรมของรัฐบาลจีนนั้นยังเป็นประเด็นขัดแย้งที่สำคัญในการเจรจา ทำให้เรามองสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะยืดเยื้อต่อไป

 

 

 


***3 เหตุการณ์น่าติดตามในช่วงครึ่งเดือนหลัง ท่ามกลางสถานการณ์ “Inverted Yield Curve”***

 


สินทรัพย์เสี่ยงทั้งหุ้น-น้ำมัน-โภคภัณฑ์แม้ขณะนี้จะเผชิญแรงเทขายอย่างหนัก หลังเกิดสถานการณ์ “Inverted Yield Curve” ในตลาดพันธบัตรของสหรัฐฯ และอังกฤษ ซึ่งในอดีตมักเป็นสัญญาณเตือนที่น่าเชื่อถือว่าจะเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจภายในช่วง 2 ปีข้างหน้า แต่เรามอง 3 เหตุการณ์หลักที่น่าติดตาม อาจช่วยกระตุ้นให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวในช่วงครึ่งเดือนหลังได้ คือ

 


1) วันที่ 22-24 ส.ค. - การประชุมเศรษฐกิจประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่จัดขึ้นที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง หัวข้อการประชุมในปีนี้ คือ "Challenges for Monetary Policy" ซึ่งจะมีผู้ว่าการธนาคาร รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเดินทางมาเข้าร่วมประชุมด้วย เราเชื่อว่าจะเห็นแนวทางหรือการส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของหลายประเทศมากขึ้นท่ามกลางการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก

2) วันที่ 24-26 ส.ค. - การประชุม G7 อาจมีการหารือกันในประเด็นการค้าที่ยังมีความขัดแย้งอยู่ระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป รวมทั้งญี่ปุ่นด้วย นอกจากนี้ต้องติดตามความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในช่วงปลายเดือนนี้ต่อเนื่องจนถึงต้นเดือนหน้าด้วย


3) วันที่ 28-30 ส.ค. - การจัดงาน Thailand Focus 2019 โดยในปีนี้มี 111 บริษัทเข้าร่วมงานดังกล่าว อิงจากการศึกษาข้อมูลในอดีต SET Index มักตอบสนองเชิงบวกดีที่สุดในช่วง 2 สัปดาห์หลังการจัดงาน โดยมีโอกาสให้ผลตอบแทนเป็นบวกราว 67% ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนอยู่ที่ +1.3%

 

 

 

***SET Index ที่บริเวณ 1600 ลงมา น่าทยอยเสี่ยงซื้อเก็งกำไรรอบสั้นๆ มองครึ่งเดือนหลังมีโอกาสรีบาวด์ทางเทคนิค***

 

 

หลังจากที่เราแนะนำ “Wait&See” เป็นกลยุทธ์หลักตั้งแต่ SET Index หลุดระดับ 1715 จุดในช่วงสิ้นเดือนที่แล้ว แม้ทิศทางตลาดในระยะสั้นยังมีความผันผวนสูง แต่สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เรามอง SET Index ที่เคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 1600 จุดลงมา (คิดเป็น Fwd. PER ปี 2020F ที่ 14.5x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.3x ถึงแม้จะคำนึงถึงแนวโน้มประมาณการกำไรของตลาดถูกปรับลงอีกประมาณ 2-3% แล้วก็ตาม และความน่าสนใจของ Earning Yield Gap ปีนี้ที่สูงกว่าระดับ 4.5% และปีหน้าสูงกว่าระดับ 5%) น่าทยอยเสี่ยงซื้อเก็งกำไรรอบสั้นๆ มองครึ่งเดือนหลังมีโอกาสรีบาวด์ทางเทคนิคสูง เล็งเป้า SET Index ที่บริเวณ 1630-50 จุด

 

 

โดยเรามองธีมหุ้นเทรดดิ้งระยะสั้นดังต่อไปนี้

(1) หุ้นพื้นฐานที่ราคาปรับตัวลงเร็วมากในเดือนนี้จนการประเมินมูลค่าอยู่ในระดับต่ำมากในรอบหลายปี น่าจะซึมซับปัจจัยลบไปมากแล้ว มีลุ้นดีดกลับ BANK และ PROP เด่นสุด แนะนำ KBANK, SCB / ANAN, ORI, SPALI ตามลำดับ

(2) หุ้นงบดีกว่าตลาดคาด มีโอกาสปรับประมาณการกำไรขึ้น – CPF, EKH, HANA, TFG, TPIPP (3) หุ้นรับมาตรการรัฐกระตุ้นบริโภคฐานราก – CPALL, BJC / AEONTS, KTC, MTC (4) หุ้นรับประโยชน์จากงาน Thailand Focus – BANK ชอบ KBANK, SCB / COMM ชอบ BJC, MEGA / OTHERS ชอบ MAJOR, PLANB, BCH, DIF

 

 

นอกจากนี้ เรายังคงชอบหุ้น 3 กลุ่มที่พิสูจน์แล้วว่า “Outperform” จากสงครามการค้ารอบก่อน (1) TRANS – ชอบ BEM, BTS (2) HELTH – BDMS, EKH (3) COMM – BJC, CPALL ผสานหุ้นเชิงรับปันผลดี - EASTW, EGCO, MAJOR, RATCH, ROJNA, TPIPP รวมทั้งหุ้นใน PF&REIT&IFF - QHPF, CPNREIT, WHART, EGATIF, JASIF, DIF, TFFIF 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

ลุ้น หวยออก By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ บ่ายวันนี้ ลุ้น หวยออก ระหว่างรอ ครม. ระหว่างรอผลประชุม เฟด เงินบาทแข็งค่า.....

ATLAS ผนึก PTG เปิดสถานี 'PT Max Rest นครชัยศรี 11' ใหญ่ที่สุดในไทย รองรับไลฟ์สไตล์นักเดินทางยุคใหม่

ATLAS ผนึก PTG เปิดสถานี 'PT Max Rest นครชัยศรี 11' ใหญ่ที่สุดในไทย รองรับไลฟ์สไตล์นักเดินทางยุคใหม่

มัลติมีเดีย

PTG × ATLAS ร่วมกันเปิดปั๊มแลนด์มาร์กใหม่ “PT Max Rest นครชัยศรี 11”

PTG × ATLAS ร่วมกันเปิดปั๊มแลนด์มาร์กใหม่ “PT Max Rest นครชัยศรี 11”

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้