HotNews: JWD คาดปีหน้ารายได้โตทะลุ10% -เทคโอเวอร์"โอเชี่ยน แอร์ฯ ขึ้นแท่นโลจิสติกส์ครบวงจร
-PDI ร่วมทุนลุยโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 114 MW ในลาว
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 4 ตุลาคม 2560 ) -------- JWD คาดปี61 รายได้โตทะลุ10% จากปีนี้มั่นใจโต7% ตามเป้า คาดQ4 นี้ ปิดดีลซื้อกิจการห้องเย็นในอินโดฯ -ธุรกิจบริการข่นส่งทางทะเล-อากาศในเวียดนาม คาดใช้งบไม่เกิน 400 ลบ. พร้อมอยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการทั้งใน-ตปท. ราว 2-3 ดีล หวังสรุปปีหน้า คาดใช้งบกว่า 1 พันลบ. คาดตั้งกอง REIT มูลค่าราว 1.5 พันลบ. ราวQ4/60-Q1/61 คาดปี61อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 34-35% จากปีนี้คาดอยู่ที่ระดับ 31-32% คาดสัดส่วนรายได้ตปท. เพิ่มแตะ25% ในปี63 จากปัจจุบัน10% ประกาศเทคโอเวอร์โอเชี่ยน แอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ปักธงธุรกิจ Freight Forwarder ขึ้นแท่นสู่ผู้นำธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ภาคพื้นดิน ทางเรือและทางอากาศอย่างครบวงจร
PDI ขยายธุรกิจพลังงานทดแทนต่อเนื่อง ลงนามร่วมลงทุนโรงไฟฟ้าพลังน้ำในสปป.ลาว Nam San 3A และ Nam San 3B รวม 114 เมกะวัตต์ โดย ตั้งเป้าถือหุ้นใหญ่ในโรงไฟฟ้าสองแห่ง ซึ่งจะทำให้พีดีไอมีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงทิตย์และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในภูมิภาคเอเซียได้ถึง 200 เมกะวัตต์ภายในช่วงระยะเวลาเพียง 2 ปี
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด(มหาชน) หรือ JWD เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ปี61 จะเติบโตได้มากกว่า10% จากปีนี้ที่มั่นใจทำได้ตามเป้าที่คาดโต7% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 2,250 ล้านบาท เป็นผลมาจากฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศตามการเข้าซื้อกิจการในแต่ละแต่ประเทศ ซึ่งยังสามารถเกื้อหนุนธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับธุรกิจแวร์เฮาส์ทั้งวัตถุอันตรายและห้องเย็น ยังมีอัตราการเช่าที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนว่าธุรกิจแวร์เฮาส์นั้นเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวอย่างชัดเจนแล้ว จากปีก่อนหน้าที่ค่อนข้างชะลอตัว
อีกทั้ง บริษัท เจวีเค อินเตอร์เนชั่นแนล มูฟเวอรส์ จำกัด "JVK" บริษัทลูกที่ประกอบธุรกิจ รับขนย้ายบ้านและสำนักงานรวมถึงให้บริการ Freight Forwarder ยังมีการเติบโตได้ดี อีกทั้งยังได้บริษัท โอเชี่ยน แอร์ อินเตอร์เนชั่นเนล "AOI" ที่บริษัทได้ทำการเข้าซื้อกิจการเข้ามาสนับสนุนช่วงไตรมาส4/60 จึงทำให้บริษัทจะรับรู้รายได้ราว500ล้านบาท จากJVK
" เดิมที JVK สร้างรายได้ให้เรากว่า400ล้านบาท แต่หลังจากนี้จะมีรายได้AOI เข้ามาโดยเฉลี่ยปีละ120ล้านบาท จากการเข้ากิจการในช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้JVK สามารถสร้างการเติบโตได้ดี และด้วยธุรกิจรับขนย้ายบ้านและสำนักงานรวมถึงให้บริการFreight Forwarder นั้นยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากของระดับโลก ซึ่งตอบโจทย์ที่ว่าเราจะเข้าสู่ผู้ประกอบการโลจิสติกส์แบบครบวงจรอันดับโลกได้ในอนาคตนี้ นอกจากนี้เราตั้งใจว่าปีหน้า รายได้เราจะโตเกิน 2 digit จากฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น เพราะเรามีการซื้อกิจการต่างๆในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง จึงทำให้ลูกค้าเราเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และส่งผลให้คู่ค้าที่เราเข้าซื้อกิจการด้วยนั้นได้รับผลประโยชน์ที่ดีอีกด้วย "นายชวนินทร์ กล่าว
สำหรับปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจแวร์เฮาส์อยู่ที่70% ซึ่งเป็นรายได้หลัก ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากธุรกิจบริการโลจิสติกส์และที่เกี่ยวเนื่องกัน แต่ในปี63 นั้น บริษัทตั้งเป้าลดสัดส่วนรายได้จากธุรกิจแวร์เฮาส์ลงเหลือเพียง50% เนื่องจากบริษัทได้เพิ่มสัดส่วนธุรกิจบริการด้านอื่นๆ อย่างธุรกิจขนส่งทางเรือและอากาศ(Freight Forwarder ) ให้เพิ่มขึ้นเป็น 25% และที่เหลือเป็นบริการประเภทอื่นๆ เพื่อให้การเติบโตของบริษัทเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และสร้างมาร์จิ้นได้ดีในทุกธุรกิจ
นายชวนินทร์ กล่าวถึงแผนลงทุนเพิ่มเติมว่า คาดภายในไตรมาส4/60 จะสามารถปิดดีลการเข้าซื้อกิจการคลังสินค้าห้องเย็นในประเทศอินโดนิเซียได้ อีกทั้งยังคาดว่าจะสามารถเข้าซื้อกิจการโลจิสติกส์ประเภทขนส่งทางทะเลและทางอากาศ ในประทศเวียดนาม ซึ่งคาดจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส1/61 หรือเร็วกว่านั้น โดยทั้ง2ดีลดังกล่าวคาดใช้เงินทุนไม่เกิน 400 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของบริษัทที่จะทำการเข้าซื้อกิจการที่สร้งผลตอบแทนได้ในระดับสูงโดยหวังให้ผลประกอบการเติบโตได้ในทุกไตรมาสและทุกปี
"ภายหลังจากสองดีลนี้ เราจะไปคุยที่มาเลย์อีกรอบหนึ่งจากก่อนหน้านี้เราเคยไปคุยมาแล้วแต่ไม่ประสพความสำเร็จ ซึ่งหากได้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่าเราก็อาจจะดูรายอื่นๆแทนซึ่งตอนนี้ก็ยังระบุรายละเอียดไม่ได้ " นายชวนินทร์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ 2-3ราย เพื่อหวังเข้าซื้อกิจการ โดยเบื้องต้นคาดจะใช้เงินมากกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งในแง่ของเงินทุนนั้น บริษัทสามารถลงทุนได้กว่า 5,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนมาจากหุ้นกู้ที่อนุมัติจากผู้ถือหุ้นไว้จำนวน 3,000 ล้านบาทซึ่งใช้ไปเพียง 500 ล้านบาท และยังมีหนี้สินต่อทุน(D/E) เพียง1 เท่า ซึ่งทางบริษัทตั้งเพดานD/Eไว้ 2เท่า นั้น โดยทางสถาบันการเงินพร้อมจะให้การสนับสนุนหากทางบริษัทจะมีการลงทุนในระยะต่อไป
นอกจากนี้คาดยังมีเงินที่ได้จากการตั้งกองREIT อีก1,500 ล้านบาท โดยบริษัทคาดแผนจัดตั้งกองREIT จะเสร็จสิ้นในช่วง ไตรมาส4/60 หรือช่วงไตรมาส1/61
ทั้งนี้บริษัทได้ทำการยื่นแบบคำขออนุญาต (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และดูและตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีมูลค่าราว 1,500 ล้านบาท
นายชวนินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทคาดปี61 อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ราว 34-35% ซึ่งใกล้เคียงกับระดับสูงสุดที่บริษัทเคยทำได้ในปี56 ขณะที่ปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้ 31-32% ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกนั้นสามารถทำได้แล้วประมาณ30% โดยมาจากฐานลูกค้าที่ขยายตัวทั้งในและต่างประเทศ และตามการบริหารต้นทุนให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่คลังสินค้าทุกประเภทยังมีอัตราเช่าที่ขยายตัวและยังได้มาร์จิ้นดี
พร้อมกันนี้บริษัทคาดสัดส่วนรายได้ต่างประเทศ ในปี63 จะเพิ่มแตะระดับ 25% จากปีนี้คาดจะอยู่ในะดับ10% และในปี61 คาดหวังจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่12-15% โดยจะเน้นเจาะในประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนามและสิงคโปร์ เป็นหลัก เพราะมีการอัตราการเติบโตด้านแวร์เฮาส์และโลจิสติกส์ที่สูง
นายชวนินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัท เจวีเค อินเตอร์เนชั่นแนล มูฟเวอรส์ จำกัด ซึ่งอยู่ในเครือของ JWD ได้เข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท โอเชี่ยน แอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการไทยที่มีความเชี่ยวชาญการดำเนินธุรกิจ Freight Forwarder หรือการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางเรือและทางอากาศ เพื่อรองรับการรุกขยายธุรกิจ โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 83 ล้านบาท ส่งผลให้โอเชี่ยน แอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีสถานะเป็นบริษัทในเครือ และช่วยยกระดับ JWD สู่การเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจรทั้งภาคพื้นดิน ทางเรือและทางอากาศ จากปัจจุบันที่ให้บริการภาคพื้นดินเป็นหลัก
การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ JWD จะได้ทีมบริหารที่แข็งแกร่งด้าน Freight Forwarder เข้ามาเสริมทัพ ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพการนำเสนอบริการเป็นแบบ Total Sales Solutions ที่มีความครบวงจรในลักษณะวันสต็อปเซอร์วิส โดยในฝั่งสินค้าขาเข้าจากต่างประเทศนั้น บริษัทฯ จะสามารถให้บริการได้อย่างครอบคลุม ตั้งแต่การรับจัดการสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ การรับจัดการพิธีการทางศุลกากร (Customs Clearance) การขนย้ายและรับฝากสินค้าภายในคลังสินค้าของ JWD และการจัดส่งสินค้าถึงจุดหมายปลายทาง ส่วนในฝั่งสินค้าขาออกไปยังต่างประเทศ จะสามารถให้บริการได้ตั้งแต่การขนส่งสินค้ามาจัดเก็บไว้ที่คลังสินค้าของ JWD การรับบริหารจัดการสินค้า เช่น รีแพ็กเก็จจิ้ง การรับจัดการพิธีการทางศุลกากร และการรับจัดการขนส่งสินค้าออกต่างประเทศ
นายฟรานซิส แวนเบลเลน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ พีดีไอ เปิดเผยว่า พีดีไอเดินหน้าลงทุนเต็มสปีดขยายธุรกิจด้านพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง โดยพีดีไอได้ลงนามร่วมกับบริษัท อีดีแอล เจนเนอเรชั่น จำกัด (EDL- Generation Public Company) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2560 ที่กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวหรือสปป. ลาว เพื่อความร่วมมือในการร่วมลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ 2 แห่ง คือ โรงไฟฟ้า Nam San 3A กำลังผลิต 69 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้า Nam San 3B กำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ รวมทั้งสิ้น 114 เมกะวัตต์
โรงไฟฟ้า Nam San 3A และโรงไฟฟ้า Nam San 3B ตั้งอยู่ที่เมือง Xieng Khouang สปป.ลาว โรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งได้เปิดดำเนินการในเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วประมาณ 2 ปี โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า กับรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (Electricite du Laos) เป็นระยะเวลา 27 ปี ทั้งนี้บริษัท พีดีไอ เอ็นเนอร์ยี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของพีดีไอ ตั้งเป้าหมายที่จะเข้าถือหุ้นใหญ่ในโรงไฟฟ้าดังกล่าวทั้งสองแห่ง
“การลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในสปป.ลาว ครั้งนี้ เป็นไปตามกลยุทธ์การขยายธุรกิจด้านพลังงานทดแทนของพีดีไอ โดยคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาการซื้อขายหุ้น (Share Purchase Agreement) ภายในปี 2560 และจะทำให้พีดีไอ เอ็นเนอร์ยีดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และโรงไฟฟ้าพลังน้ำในภูมิภาคเอเซียได้ถึง 200 เมกะวัตต์ในช่วงระยะเวลา 2 ปี” นายฟรานซิสกล่าว
ปัจจุบันพีดีไอมีโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มในประเทศไทยจำนวน 7 แห่ง กำลังการผลิตรวม 37 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดตาก ปราจีนบุรี ขอนแก่นและสมุทรสาคร และมีโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มจำนวน 2 แห่งที่ประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิตรวม 13 เมกะวัตต์ โดยโรงไฟฟ้านานาโอะได้เปิดดำเนินการเมื่อตุลาคมปีที่แล้ว ส่วนโรงไฟฟ้าโนกาตะจะเปิดดำเนินการในไตรมาสที่ 1 ปี 2561
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการปี 2560 มีโอกาสที่จะเติบโตดีกว่าปี 2559 ที่มีกำไรสุทธิ 478 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 327 ล้านบาท หรือ 216% เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิ 151 ล้านบาท ซึ่งเป็นการทำกำไรสูงสุดในรอบ 5 ปี ในปี 2560 บริษัทฯ ยังมีรายได้หลักจากธุรกิจสังกะสีกว่าร้อยละ 90 โดยจะมีผลิตภัณฑ์โลหะสังกะสีที่ผลิตจากแร่แม่สอด ซึ่งมีต้นทุนต่ำอยู่อีกจำนวนกว่า 30,000 ตัน และยังมีการนำเข้าโลหะสังกะสีมาจำหน่ายอีก 30,000 ตัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในประเทศ และหากราคาโลหะสังกะสีโลกในปี 2560 ยังคงปรับตัวสูงอยู่ในระดับ 2,600-2,900 ดอลลาร์สหรัฐ จะส่งผลดีต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีนี้
---จบ--