อีกไม่นานเกินรอ บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (DTCENT) เป็นผู้ออกแบบ วิจัย พัฒนา จัดจำหน่าย และให้บริการอุปกรณ์ติดตามยานพาหนะ (GPS Tracking) และพัฒนาระบบไอโอที (IoT Solution) และ Artificial Intelligence (AI) ครบวงจร รวมถึงวิจัยและพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ เพื่อการบริหารการขนส่งและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 305 ล้านหุ้น
โดยเป็นการเพิ่มทุนจาก 900 ล้านหุ้น เป็น 1,205 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25.31% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 2.86 บาท และ คาดว่า เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ รองรับแผนบุกตลาด IoT Solution และเทคโนโลยี AI ร่วมกับ 2 พันธมิตรยักษ์ใหญ่ในต่างประเทศอย่าง YAZAKI และ BOON RAWD Supply chain ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบุญรอดบริวเวอรี่ ผู้นำในธุรกิจเครื่องดื่มในไทย รองรับแผนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า
DTCENT ถือเป็นผู้นำของการให้บริการระบบบอุปกรณ์ GPS ซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ขณะที่แนวโน้มจำนวนรถที่ติดตั้ง GPS Tracking เติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้ปัจจัยบวกจากการออกข้อกำหนดของกรมการขนส่งทางบกที่กำหนดให้รถโดยสารทุกประเภทและรถตู้ ที่จดทะเบียนใหม่ต้องติดตั้งระบบ GPS
ขณะที่ธุรกิจ IoT Solution ยังมีโอกาสเติบโตได้สูงจากมูลค่าตลาดอุตสาหกรรม IoT กำลังจะเริ่มเข้าสู่ช่วงเติบโตเนื่องจากความพร้อมของ Digital Infrastructure ที่เริ่มใช้ 5G และนโยบายการส่งเสริมของภาครัฐ
นอกจากนี้ DTCENT ยังมีกลยุทธ์การแข่งขันที่โดดเด่นอย่างการให้บริการที่ครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบสู่การบริการหลังการขาย การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัยและทำด้วยตัวเอง เนื่องมีฝ่ายเทคโนโลยีที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญสูง รวมถึงพร้อมต่อยอดลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อเป้าหมายขยายฐานลูกค้า และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และ Solution ใหม่อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ DTCENT ได้จับมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งได้แก่ 1.YAZAKI ที่เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนยานพาหนะ สายไฟ และสายเคเบิ้ล อันดับ 1 ของญี่ปุ่น ซึ่งมีบริษัทในเครือกว่า 140 แห่ง ใน 45 ประเทศทั่วโลก ถือเป็นโอกาสอันดีของบริษัทที่จะทำการตลาดและขยายช่องทางการจัดจำหน่าย และ 2.BOON RAWD Supply chain ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบุญรอดบริวเวอรี่ ผู้นำในธุรกิจเครื่องดื่มในไทย ซึ่งบริษัทจะร่วมกันพัฒนา Supply chain solution เพื่อบริหารจัดการต้นทุนและเสริมประสิทธิภาพในการทำงาน เนื่องจากแนวโน้มต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่สูงขึ้นทำให้หลายหน่วยงานมีความต้องการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารต้นทุน รวมถึงมีโอกาสเข้าถึงบริษัทในเครือของบุญรอดบริวเวอรี่ เพื่อพัฒนา Solution อื่นๆ ในอนาคต
“วัตถุประสงค์การเข้าระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้ในการลงทุนสร้างศูนย์บริหารจัดการ และ บริการข้อมูลยานพาหนะ (Vehicle Monitoring and Support Center) และ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ” นายทศพล คุณะเพิ่มศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (DTCENT) ให้ความเห็น
ที่ผ่านมา DTCENT ได้รับความร่วมมือจาก 2 พันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญ ประกอบด้วย บริษัท ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น (YES) ถือหุ้นใน DTCENT จำนวน 18% ก่อนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) โดย YES จะร่วมพัฒนาให้ DTCENT เป็น Tier 1 Supplier ในการดำเนินธุรกิจ OEM สำหรับอุปกรณ์ GPS Tracking และ Telematics ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
ส่วนบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด (BRS) ถือหุ้นจำนวน 15% ก่อนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) ซึ่งถือเป็นพันธมิตรหลักที่จะเข้ามาส่งเสริมเพิ่มศักยภาพ ให้แก่บริษัทในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และพัฒนาผลิตภัณฑ์ Supply Chain Solutions ใหม่ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุน และ เสริมประสิทธิภาพในการทำงานให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการโลจิสติกส์
นอกจากธุรกิจ GPS Tracking แล้ว กลุ่มบริษัทฯ มีแผนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นใหม่ที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อเป็นระบบอัจฉริยะในกลุ่มงาน IoT ประกอบด้วย ระบบบริหารจัดการน้ำ, ระบบ SMART CITY SOLUTION หรือระบบบริหารการจัดการองค์กรส่วนท้องถิ่น, BAMS (Business Activity Management System), BIM (Building Information Modeling), EV Platform, Logistics Demand-Supply Matching Platform และระบบ AI สำหรับงาน IoT
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลของการดำเนินงานในปี 2565 คาดว่า ผลงานจะเติบโตได้ราว 10-15% จากการฟื้นตัวขึ้นหลังจากผ่านพ้นการแพร่ระบาดโควิด-19 ไปแล้ว ทำให้หน่วยงานภาครัฐต่างๆ รวมถึงกลุ่มลูกค้าภาคเอกชน เริ่มกลับมาลงทุนในการติดตั้งระบบ GPS ทำให้เริ่มมีงานใหม่ๆ เข้ามา ผลักดันให้ผลการดำเนินงานฟื้นตัวขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถกลับไปใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19
ทั้งนี้ รายได้ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาของปี 65 เติบโตขึ้นมาที่ 324.61 ล้านบาท จากช่วง 6 เดือนแรกของปี 64 อยู่ที่ 288.18 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้รับงานที่เข้ามามากขึ้น ทำให้บริษัทมั่นใจในการกลับมาเติบโตอย่างมีศักยภาพ
หากมองศักยภาพในการเติบโตในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า จากแผนการระดมทุนและการขยายธุรกิจร่วมกับ 2 พันธมิตรยักษ์ใหญ่ จากญี่ปุ่น และเครือบุญรอด รวมถึงการเข้าไปบุกตลาดงานภาครัฐ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับระบบ SMART CITY SOLUTION ซึ่งอยู่ในเมกะเทรนด์ เชื่อว่าจะเป็น New S Curve ผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต นอกเหนือจากความเป็นผู้นำด้าน GPS Tracking ของเมืองไทย ซึ่งถือเป็นแต้มต่ออยู่แล้ว!
***********************************************************
MPJ ผู้นำโลจิสติกส์แบบครบวงจร หุ้นโลจิสติกส์น้องใหม่ จัดโรดโชว์ศุกร์ 11 ตุลาคมนี้ เตรียมขาย IPO 53 ล้านหุ้น ปลายเดือนนี
นายกล้วยหอม มองตลาดหุ้นไทย ยังไม่ทิศทางที่ชัดเจนจะแทงขึ้น หรือแทงลง เป็นอะไรที่ต้องดูไปแบบวันต่อวัน....
"MEDEZE" นำเสนอข้อมูลนักลงทุน VI โชว์ศักยภาพผู้นำสเต็มเซลล์ และ Biotech ของประเทศไทย
รู้จัก เมดีซ กรุ๊ป ก่อนเทรด บนกระดาน SET - สายตรงอินไซด์
สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้