คัมภีร์หุ้น By ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ : รหัสมรณะ COVID-19 ฟองสบู่ตลาดหุ้นรอบใหญ่กำลังระเบิด หรือวิกฤตที่ต้องคว้าเป็นโอกาสทองรวยหุ้นหลายเด้ง

 

 

 

 

*ทุกวิกฤตเป็นโอกาสรวยหุ้น วิกฤตไวรัสโควิด 19 ก็เช่นกัน พบ 3 หุ้นเด่นที่สุดที่จะพลิกเปลี่ยนพอร์ตของเรารวยหลายเท่าตัว เหมือนที่เคยทำได้มาแล้วในวิกฤตที่ผ่านมา ( คล้ายตอนวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ที่เคยพาซื้อ KCE ขึ้นจาก 3 บาทวิ่งไป 130 )
...........
By ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด 3 มีนาคม 2563

 

1.ตลาดหุ้นจะฟองสบู่แตกแล้วไหลลงยาวเป็นวิกฤตใหญ่หรือไม่ขึ้นอยู่กับปราการด่านนี้

 

 

 

 

 

ปราการสำคัญ-ภาพแนวโน้มตลาดหุ้นไทยระยะยาว จาก 204 จุดหลังฟองสบู่แตกปี 2540 ขึ้นมาพีค 1852 จุด เป้าหมายตกสำคัญเที่ยวนี้พิจารณาจาก Fibonacci number อยู่แถวๆ 1300 หรือสุดๆ 1220 จุด ข้อพิจารณาคือหากไม่หลุดด่านนี้ก็เป็นเพียงตกปรับฐาน (Correction) รอบใหญ่ แล้วจะฟื้นขึ้นรอบใหญ่ แต่หากหลุดก็จะเป็นการดำดิ่งลงยาว (Rexcession)

 

 

 

 

 

 

Correction ใหญ่ยกที่ 3 - นับจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551 หุ้นไทยขึ้นจากฐาน 380 จุด ขึ้นไปสูงสุด 1852 จุด จากนั้นเคยตกหนักๆมา 2 ยก คือในปี 2556 และ 2558 แต่ละยกตกมาลึกราว 25% แล้วฟื้น ส่วนเที่ยวนี้ตกมามากกว่า 26% ใกล้เคียงกับ 3 หนก่อน โดยมีฐานใหญ่แนวรับเขต 1 ใน 3 Fibonacci number บริเวณ 1300 จุด+/-() ในภาพคือตั้งแต่ 1350 มาถึง 1284 จุด) หากไม่ลึกกว่าตรงนี้เป็นเพียงพักฐาน แต่หากหลุดด่านนี้ก็จะเข้าเขต recession หรือตกยาวยืดเยื้อรอบใหญ่แบบวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ หรือวิกฤตฟองสบู่แตกปี 2540

 

 

 

 

ดาวโจนส์-ยังเป็น Correction หากไม่ลึกกว่า 24500 หรือพังฐานเก่าเขต 22000 จุด

 

2.ตลาดหุ้นไทยตกหนักที่สุดในโลก ทำไมเป็นแบบนี้?

 

 

 

 

จากสถานการณ์โควิด 19 ดัชนี SET ตกหนักที่สุดในบรรดาตลาดหุ้นทั่วโลก เมื่อนับจากต้นปีนี้ คือลงมามากถึง -18.63% หาดเปรียบเทียบกับดัชนีหุ้นหลักของโลกอย่างดาวโจนส์ที่ยังมีผลตอบแทน +2.6% และจีนสถานที่ต้นเหตุ +10.25% และดัชนี S&P เอเชีย +4.83%

 

 

 

 

 

 

คำอธิบายก็คือเนื่องมาจากว่า ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวในสัดส่วนที่สูง แม้จะเพียงราว 6% ต่อ GDP ประเทศ แต่มีผู้แย้งว่าไทยน่าจะมีสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวต่อ GDP ติด 1 ใน 3 ของโลกคือ 21.6% รองจากฟิลิปปินส์ 24.71% (https://www.longtunman.com/20913)

อย่างไรก็ดีตั้งแต่ต้นปีมาถึงล่าสุด ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ที่เป็นแชมป์นั้นตกลงมา-10.6% แต่ไทย-18.6%

 

 

 

 

คำอธิบายนั้นก็อาจจะเป็นไปได้อีก 3 เรื่องคือ

 

2.1 สัดส่วนรายได้จากส่งออกของเราสูงมาก พอเกิดโควิด 19 กระทบประเทศหลักๆอย่างจีนที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจโลกสูง เลยกระทบการส่งออกของเรา

 

 

 

 

 

2.2 สัดส่วนโครงสร้างการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ถูกครอบงำโดยกองทุนต่างประเทศเสีย 40% โดเยกองทุนต่างปีระเทศพวกนี้ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่กลุ่มแบงก์การเงิน พลังงานสาธารณูปโภค และสื่อสารเป็นหลัก (https://www.set.or.th/dat/vdoArticle/attachFile/AttachFile_1566876303390.pdf) พอเกิดเหตุโควิด 19 กองทุนฝรั่งเลยเทขายหนัก

 

 

 

 

 

2.3 ปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองที่ยังไม่มีเสถียรภาพ เกิดความขัดแย้งแตกแยกในประเทศแบ่งเป็น 2 ฝ่ายมานาน 14ปี และอาจจะก่อตัวรอบใหม่จากม็อบนักศึกษาที่เป็นฐานสนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ที่ไม่พอใจจากการยุบพรรคที่พวกเขาสนับสนุน

 

3.ถ้าต่างชาติขายต่อ หรือหยุดขายแล้วกลับมาซื้อจะเปลี่ยนผลลัพธ์ในตลาดหุ้นไทยหรือไม่?

 

ดังที่ได้อธิบายไปในข้อ 2 ว่า ต่างชาติเทขายหุ้นไทยมาก (กองทุนไทยก็ผสมโรงด้วย)เลยส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยลงมาหนักที่สุดในโลก ดังนั้นข้อสมมุติฐานมีว่าหากการแพร่ระบาดของโควิดสิ้นสุดลงแบบหลายวิกฤตที่เคยเกิดขึ้น (ผู้เชี่ยวช่าญจีนชี้ว่าอาจหยุดระบาดในเดือนเมษายนนี้ https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/865912) แล้วตลาดหุ้นเกิดการ recovery ฟื้นตัวกลับไป สิ้นสุดการ correction ไม่จมดิ่งไปสู่ recession ( ดังที่ผมอธิบายไปในข้อ 1 ) ตลาดก็จะมี pattern ฟื้นตัวกลับตามโมเดทำลายเชิงสร้างสรรค์ (http://thailworld.blogspot.com/2016/02/creative-destruction-model.html)

 

 

 

 

 

 

ทั้งนี้เริ่มมีเฮาส์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกเริ่มอัพเกรดให้ลูกค้ากองทุนต่างประเทศมาซื้อหุ้นไทยบ้างแล้ว อย่างค่าย CSFB ที่มองว่าการที่หุ้นไทยตกหนักที่สุดในโลก ก็ทำให้ราคาหุ้นถูกลงมาสู่ระดับค่า P/E เฉลี่ยรอบ 10 ปี ขณะที่มีปัจจัยหนุนเรื่องเงินงบประมาณจะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในเดือนเมษายนนี้

 

 

สรุป

 

1.ตลาดหุ้นไทยตกหนักที่สุดในโลกจากวิกฤตโควิด 19 เนื่องจากไทยมีสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยว และส่งออกสูงมาก เราจึงได้รับผลกระทบมาก นอกจากนั้นก็เพราะปัจจัยเสี่ยงทางการเมือง และโครงสร้างสัดส่วนการลงทุนที่มีทุนต่างประเทศลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่า 40% กระจุกอยู่ในหุ้นใหญ่ SET50 เป็นส่วนใหญ่ เมื่อกองทุนฝรั่งเทขายเพื่อลดความเสี่ยงโควิด 19 จึงโดนหนัก

 

2.อย่างไรก็ดีพึวงพิจารณาว่าวิกฤตโรคระบาดโควิดนั้นจะยาวหรือสั้น หากยาวกระทบยืดเยื้อก็อาจนำไปสู่ภาวะเศราฐกิจถดถอยในโลกและไทย แต่หากเป็นชั่วระยะสั้นเหมือนการระบาดหลายครั้งที่ผ่านมา เช่นอาจยุติระบาดในเดือนเมษายน ก็อาจกระทบช่วงสั้น เศรษฐกิจและตลาดหุ้นตกมานั้นเป็นเพียงการตกปรับฐานรอบใหญ่ๆ (Correction)

 

ซึ่งเมื่อพิจารณาจากสถิติพบว่าหุ้นไทยรอบ 12ปี มานี้เคยตกปรับฐานหนักๆมาแล้ว 2 รอบ ลงมาเฉลี่ย 25% รอยบนี้ก็ลงมาราวๆ 25% และในมุมมองทางเทคนิคระยะยาว หากไม่พังฐานหรือลงไปลึกกว่าเขต 1 ใน 3 ของอนุกรมมหัศจรรย์ Fibonacci ราวๆ 1300 จุด (กินบริเสวณตั้วงแต่ 1350/1300/1280/1220 โดยประมาณ) แล้วฟื้นตัวได้ ก็จะฟื้นกลับไปแบบ recovery stock คือตกมาจากตรงไหนก็กลับไปตรงนั้น อย่างรอบนี้ตกจากแถว 1600 ก็กลับไป 1600 หรืออาจได้ลุ้นขึ้นไปยาวๆตามโมเดลทำบายเชิงสร้างสรรค์ได้

 

อย่างไรก็ดีหากปัจจัยเรื่องโควิด 19 และปัจจัยลบอื่นๆเป็นไปอย่างยืดเยื้อยาวนานกว่าคาดการณ์ ราคาดัชนีลงไปพังด่านแนวรับอนุกรม Fibonacci ก็น่าจะไม่ใช่เพียง correctoon แต่จะเป็น recession ขนาดใหญ่ต่อไปแบบที่เคยเกิดสมัยวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ หรือวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ได้ ก็เอาไว้เป็นประเด็นประกอบการพิจารณาตัดสินใจการลงทุนนะครับ

 

โชคดีมีกำไร ปบอดภัยในการลงทุนทุกท่านครับ

....

 

 

 

 

สัมมนาออนไลน์ พลิกวิกฤตโควิด 19 เป็นโอกาสรวย ปรับพอร์ตรับสุดยอด 3 หุ้นเด่น

*ทุกวิกฤตเป็นโอกาสรวยหุ้น วิกฤตไวรัสโควิด 19 ก็เช่นกัน 
*พบ 3 หุ้นเด่นที่สุดที่จะพลิกเปลี่ยนพอร์ตของเรารวยหลายเท่าตัว เหมือนที่เคยทำได้มาแล้วในวิกฤตที่ผ่านมา (คล้ายตอนวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ที่เคยพาซื้อ KCE ขึ้นจาก 3 บาทวิ่งไป 130)
*เป็นโอกาสสำคัญที่สุดที่จะปรับแก้พอร์ตจากขาดทุนฟื้นมากำไร และได้ทุนคืน 

*พบกับการสัมมนาออนไลน์ผ่าน Facebook และกรุ๊ปไลน์พร้อมกันทั่วโลก 29 มีนาคมนี้

*งานสัมมนาออนไลน์นี้เหมาะกับใคร?
1.ท่านที่มองหาโอกาสสำคัญในวิกฤตที่จะพิชิตตลาด มีโอกาสรวยในระดับหลายเท่าไปถึง10เด้ง กับหุ้นระดับSuper Stock
2.ท่านที่จะแก้ไขพอร์ตที่เกิดความเสีัยหายจากการร่วงลงแรงเพราะโควิด19เพื่อเอาทุนคืนมา และตีตื้นฟื้นกลับเป็นกำไร
จองงานสัมมนา ด้วยการ

 

1.แอด Line@ : https://goo.gl/ybfAvJ สั่งจอง

2.โทรสั่งจอง 0970986000