Today’s NEWS FEED

เวทีความคิด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย : นโยบายรถยนต์คันแรก...แรงกระตุ้นตลาดรถยนต์ที่สำคัญ ปี 54 และ 55

2,282

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย : นโยบายรถยนต์คันแรก...แรงกระตุ้นตลาดรถยนต์ที่สำคัญ ปี 54 และ 55

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานจากมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับนโยบายการคืนภาษีสำหรับรถยนต์คันแรกที่มีข้อสรุปออกมาในวันที่ 13 กันยายน 2554 ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวางตลอดตั้งแต่ช่วงการจัดการเลือกตั้งเมื่อกลางปี 2554 ที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นนโยบายที่จะมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อรถของผู้บริโภค และการวางแนวทางการทำตลาดของค่ายรถยนต์เพื่อให้สอดคล้องกับประโยชน์ที่จะได้รับจากนโยบาย โดยผลของนโยบายที่ออกมานี้ย่อมมีส่วนอย่างมากในการกำหนดทิศทางตลาดรถยนต์ในประเทศในช่วงที่เหลือของปี 2554 และตลอดทั้งปี 2555 ซึ่งเป็นช่วงที่นโยบายมีผลบังคับใช้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงได้วิเคราะห์ถึงผลจากนโยบายดังกล่าวต่อทิศทางตลาดรถยนต์ช่วงที่เหลือของปี 2554 และปี 2555 โดยมีประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้

รถยนต์คันแรก....สิทธิประโยชน์ครอบคลุมตลาดรถยนต์กว่าร้อยละ 68
ทั้งนี้ เพื่อให้นโยบายไปสู่กลุ่มเป้าหมาย คือ ประชาชนรายได้น้อยที่ไม่เคยมีรถยนต์มาก่อน รัฐบาลจึงกำหนดหลักเกณฑ์สำคัญสำหรับผู้ซื้อรถที่จะได้รับคืนเงินภาษีว่า รถที่ซื้อนั้นจะต้องมีราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาท และอยู่ในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 cc. รถกระบะ (Pick up) และรถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab) ทำให้รถรุ่นที่จะได้ประโยชน์ถูกจำเพาะกลุ่มลงไปเหลือราวร้อยละ 68 ของตลาดรถยนต์รวม จากเดิมที่หากกำหนดเพียงระดับราคาที่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท โดยไม่กำหนดประเภทรถนั้น กลุ่มรถยนต์ที่ได้รับประโยชน์จะครอบคลุมถึงมากกว่าร้อยละ 90 ของตลาดรถยนต์ทั้งประเทศ

ประเภทรถยนต์    อัตราภาษี
(%)    เงินคืนภาษี* (บาท)
รถยนต์นั่ง (<1,500 cc)    25    93,500- 100,000
Pick Up     3    11,000 – 22,200
Double Cab     12    58,600 – 99,000
Eco Car    17    51,000 – 69,100

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีรถยนต์หลายรุ่น    สัดส่วนการคืนเงินภาษีสรรพสามิตแบ่งตามประเภทรถ

ของหลายค่ายที่เข้าหลักเกณฑ์สำคัญเบื้องต้นดังกล่าว ซึ่งช่วงต่างของระดับราคารถยนต์ที่เข้าตามเกณฑ์นั้นมีช่วงกว้างตั้งแต่ 3แสนกว่าบาท ไปจนถึงไม่เกิน 1 ล้านบาท แต่เนื่องจากเกณฑ์ในการคืนภาษีจะคืนให้เท่ากับภาษีสรรพสามิตที่รถยนต์แต่ละคันต้องจ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท ทำให้รถยนต์แต่ละรุ่นนั้นได้คืนภาษีมากน้อย   * คำนวณจากราคารถที่ทำตลาดในปัจจุบัน (ไม่รวม option พิเศษ)


ต่างกันไปตามจำนวนภาษีสรรพสามิตที่จ่ายและ     ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รวบรวมและคำนวณจากข้อมูลของ

กระทรวงการคลัง และสถาบันยานยนต์
ราคาขายปลีกของรถยนต์แต่ละรุ่น โดยรถยนต์นั่งขนาดเล็กจะได้ลดภาษีโดยเฉลี่ยแล้วสูงกว่า รถกระบะดับเบิ้ลแค็ป รถอีโคคาร์ และรถปิกอัพตามลำดับดังแสดงในตาราง


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดรถปิกอัพซึ่งเป็นรถประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดนั้น จะได้รับประโยชน์จากส่วนเงินคืนภาษีที่น้อยกว่าพอสมควร แต่การแข่งขันในตลาดนี้น่าจะรุนแรงมาก โดยค่ายรถที่ทำตลาดรถปิกอัพน่าจะใช้สิทธิประโยชน์ที่ได้มาเป็นกลยุทธ์ในการจูงใจผู้ซื้อให้ได้มากที่สุด

ทว่าหากมองถึงศักยภาพในการซื้อรถของผู้ซื้อซึ่งต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยครอบครองรถมาก่อน ราคาจำหน่ายรถยนต์แต่ละรุ่น และจำนวนเงินคืนภาษีซึ่งเปรียบเสมือนส่วนลดของราคารถยนต์แล้ว ทั้งรถอีโคคาร์ และรถยนต์นั่ง (<1,500 cc) ดูจะเป็นประเภทของรถที่มีโอกาสทำยอดขายได้สูงกว่ารถอีก 2 ประเภทที่เหลือ โดยกลุ่มผู้ซื้อหลักคาดว่าจะเป็นกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ซึ่งเข้าเกณฑ์อายุขั้นต่ำของนโยบายที่ 21 ปี ไปจนถึงกลุ่มคนทำงานรุ่นอายุไม่เกิน 30 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังทรัพย์เหมาะสมกับการถือครองรถประเภทดังกล่าว และยังมีความต้องการใช้รถขนาดใหญ่ขึ้นไปอีกระดับน้อยกว่ากลุ่มคนที่มีระดับอายุ 30 ปีขึ้นไป  

ยอดขายรถยนต์ในประเทศช่วงที่เหลือปี 54 และตลอดปี 55 มีโอกาสขยับขึ้นสูง
หลังจากที่นโยบายรถคันแรกเริ่มมีความชัดเจนแล้วว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 ถึง 31 ธันวาคม 2555 ทำให้ผู้บริโภคที่มีความต้องการซื้อสามารถตัดสินใจซื้อรถได้ทันที หลังจากที่ได้มีการชะลอการตัดสินใจซื้อรถไปในช่วง 2 เดือนก่อนหน้า จากความไม่ชัดเจนของแนวทางการให้สิทธิประโยชน์ของนโยบาย ส่งผลทำให้ยอดขายรถยนต์ช่วงต่อจากนี้ไปถึงสิ้นปี 2555 มีโอกาสขยายตัวสูง โดยจะเห็นได้จากสถิติในอดีต ช่วงที่รัฐบาลเริ่มมีการประกาศลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์นั่งที่ใช้แก๊สโซฮอล์ อี 20 ลงอีกร้อยละ 5 สำหรับรุ่นที่มีขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 3,000 cc.ในปี 2551 ซึ่งทำให้ราคารถยนต์ในปีนั้นปรับลดลงไปตั้งแต่ประมาณ 30,000 บาท จนถึงมากกว่า 1 แสนบาท ทำให้ยอดขายรถยนต์นั่งมียอดขายที่สูงขึ้นมากกว่าปี 2550 ถึงกว่า 56,000 คัน คิดเป็นการขยายตัวร้อยละ 30.8 (YoY)  


ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจากผลของนโยบายรถคันแรกนี้ น่าจะช่วยกระตุ้นตลาดในช่วงที่เหลือของปี 2554 ท่ามกลางการแข่งขันกันนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆของค่ายรถออกมา ทำให้ตลาดรถยนต์ในประเทศปี 2554 นี้ มีโอกาสขยายตัวสูงถึงร้อยละ 12 ถึง 17 หรือคิดเป็นจำนวนยอดขายรถยนต์ 900,000 ถึง 940,000 คัน เพิ่มสูงขึ้นกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าที่ 880,000 ถึง 920,000 คัน

และเนื่องจากผลของนโยบายดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2555 ประกอบกับจะมีรถยนต์รุ่นใหม่ๆที่เตรียมจะเปิดตัวออกสู่ตลาดในปีหน้านี้ ทำให้คาดว่าตลาดรถยนต์จะยังได้รับอานิสงส์ของนโยบายต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2555 ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2555 มีโอกาสขยายตัวร้อยละ 7 ถึง 12 หรือคิดเป็นจำนวนรถยนต์ 980,000 ถึง 1,030,000 คัน ทั้งนี้เนื่องจาก นอกเหนือจากผลของนโยบายรถคันแรก การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาด และรายได้ของเกษตรกรที่มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นจากนโยบายของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์แล้ว ยังอาจต้องพิจารณาปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะผลของทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง และมีโอกาสที่จะชะลอตัวลงได้ ซึ่งจะกระทบต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรม การส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยในปีหน้านี้ ซึ่งผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอาจต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกำลังการผลิตรถยนต์บางรุ่นที่อาจจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าระดับปกติ

นอกจากนี้ นโยบายรถคันแรกอาจมีผลต่อการปรับกลยุทธ์การทำตลาดของแต่ละค่ายรถ โดยอาจมีการออกรถบางรุ่นที่มี option พิเศษเพิ่มเติมขึ้นมา เพื่อให้ผู้ซื้อได้รับเงินคืนภาษีที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับสิทธิประโยชน์ขั้นสูงสุดที่จะได้รับ รวมถึงหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้สิทธิประโยชน์เฉพาะกับรถที่ผลิตขึ้นในประเทศเท่านั้น ทำให้ค่ายรถบางค่ายที่อาจจะไม่มีรถรุ่นที่เข้ากับสิทธิประโยชน์ดังกล่าว แต่มีแผนการผลิตหรือเปิดตัวรถรุ่นนั้นๆอยู่แล้ว ต้องเร่งผลักดันเปิดตัวรถรุ่นใหม่ที่เข้าเกณฑ์ออกมาแข่งขันในตลาดเร็วขึ้น

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

ผถห. SSP ผ่านฉลุย! จ่ายปันผล 0.20 บาท/หุ้น

ผถห. SSP ผ่านฉลุย! จ่ายปันผล 0.20 บาท/หุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้